top of page

บทความหนุนใจ List

กินได้นอนหลับ

เมื่อมองย้อนกลับไปสู่อดีตวันวานอย่างไม่เข้าข้างตัวเอง พบว่าเราเองต่างหากที่ไม่รู้จักใช้ชีวิตให้มีความสุขสมกับวัยที่ผ่านมา และมัวแต่สับสน บินถลาร่อนไปกับความฝันลมๆแล้งๆ ต้องเป็นไอ้โน้นไอ้นี่ ต้องเรียนให้เก่ง เรียนสูง รวย เพื่อจะได้เป็นเจ้าคนนายคน ทำงานสบาย ไม่ต้องแบกหามให้ลำบาก โดยไม่รู้ว่า ชีวิตก็เหมือนหมอกเมฆที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

เมื่อเร็วๆนี้ พบกับคนงานก่อสร้างหลายๆคนที่กำลังทำงานต่อเติมบ้าน เนื่องจากวันนั้นไม่ค่อยจะมีอะไรเร่งด่วนก็เลยยืนดูพวกเขาทำงาน ดูๆแล้วก็ได้ความคิดหลายอย่างเกิดขึ้น เช่น คนอายุห้าสิบกว่ายังแข็งแรง สามารถยกหรือทำงานหนักเหมือนเด็กหนุ่มสาวได้อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อถามว่า "เหนื่อยไหม ทำงานหนักแบบนี้" เขาตอบว่า

"สบายมาก เพราะทำทุกวันจนไม่รู้สึกอะไรแล้ว อีกอย่างหากไม่ทำครอบครัวก็คงไม่พอใช้ เพราะค่าครองชีพและอะไรต่อมิอะไรมันแพงขึ้น" จากนั้นก็สนทนาเรื่องต่างๆไปตามภาษาคนชอบศึกษาเรื่องราวชีวิต แต่ผมไม่ได้ออกความเห็นอะไรทั้งสิ้น ได้แต่ฟังอย่างตั้งใจ

พอเที่ยง พนักงานต่างคนก็รีบคว้าอาหารเที่ยงที่เตรียมมาจากบ้านออกมานั่งรับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อยจนเรารู้สึกหิวไปด้วย 'เออ...พวกเขาช่างกินอาหารอร่อยจัง ทั้ง ๆที่เป็นอาหารธรรมดาๆที่เรากินกันทุกวันนั่นแหละ'

จากนั้นไม่นาน การสนทนาของเรายังไม่เสร็จสิ้นขบวนความ เจ้าหมอนั่น นั่งหลังพิงต้นไม้หลับเสียแล้ว หลับชนิดสนิทเลย ไม่สนใจผมจะพูดคุยอะไรต่อ ได้ยินเสียงกรนดังพอสมควร...
'เออ...มันช่างมีความสุขจริงๆ หลับง่าย ไม่เหมือนผมและเพื่อนฝูงอีกหลายๆคนที่มักจะบ่นนอนไม่หลับ'
ดังที่กล่าวสอนไว้ในปัญญาจารย์ 5:12 ฉบับมาตรฐาน ว่า "การหลับของกรรมกรก็ผาสุก ไม่ว่าเขาจะได้กินน้อยหรือได้กินมาก แต่อาหารที่อุดมสมบูรณ์ของคนมั่งมีก็ไม่ช่วยเขาให้หลับ"

เมื่ออายุมากขึ้นเราก็พอจะเข้าใจได้ ไม่ว่าเราจะทำอาชีพอะไร มีหรือจน หากรู้จักพอใจและอยู่แบบสมฐานะ ไม่คิดมาก อารมณ์ชื่นบานเสมอ กินได้นอนหลับ สุขภาพดี แค่นี้ก็ดีใจแล้วครับ เราจะไม่เปรียบเทียบกับใคร ใครร่ำรวยกว่าหรือจนกว่า ใครจะดีกว่าหรือไม่ดีกว่า ...

"ส่วนพวกที่มั่งคั่งในชีวิตนี้ จงกำชับพวกเขาไม่ให้เย่อหยิ่ง หรือมุ่งหวังในทรัพย์ที่ไม่ยั่งยืน แต่ให้มุ่งหวังในพระเจ้าผู้ประทานทุกสิ่งแก่เราอย่างบริบูรณ์ เพื่อให้เราได้ชื่นชม......" (1 ทิโมธี 6)

ให้เราคิดว่า ภาชนะในบ้านมีหลายรูปแบบ ต่างก็มีคุณค่าในตัวของมันเอง มีอาชีพอะไรก็ไม่สำคัญ มีชื่อเสียงหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ขอเพียงเป็นอาชีพสุจริต ไม่ผิดศีลธรรม และกฎหมาย

ที่สำคัญ อยู่อย่างไรให้มีความสุขในทุกๆสถานการณ์ !!



บทความ กินได้นอนหลับ โดย : ปีเตอร์ ปัญญาชน (นิตยสาร โลกวันนี้ 23 กุมภาพันธ์ 2015)

96c71d36-1126-429b-b1c8-eff0871d77ec

Read More

ความช่วยเหลือของคุณมาจากไหน?

พระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียม “ข้าพเจ้าเงยหน้าดูภูเขา
ความช่วยเหลือของข้าพเจ้ามาจากไหน?
ความช่วยเหลือของข้าพเจ้ามาจากพระยาห์เวห์
ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก”
(สดุดี 121:1-2)

คำถาม: ความช่วยเหลือของข้าพเจ้ามาจากไหน?
คนในโลกทั้งรวยและยากจน ทั้งคนที่มีอำนาจและไม่มีอำนาจ ต่างคนต่างก็แสวงหาคำตอบ “ที่ดีที่สุด” ของชีวิต แต่ก็ดูเหมือนว่าคำตอบที่ดีที่สุดนั้นจะอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไกลเกินเอื้อม เมื่อคนคิดว่า “ถ้าฉันรวย ฉันก็จะพอใจแล้ว” แต่เมื่อเขารวยเท่าที่เขาเคยหวังว่าอยากจะรวย เขากลับมีความคิดว่า (เขายังต้องรวยให้มากขึ้นไปอีก)
“โลก” เป็นเหมือนห้องสอบใหญ่ที่ทุกคนจะต้องผ่านเข้าไป “ทำข้อสอบ” และเราพบว่าคนไม่น้อยสอบไม่ผ่าน แต่ผลที่ได้กลับไม่เป็นไปตามที่เขาคิด เขาผิดหวังและไม่เข้าใจ “โลก” ทำให้ทุกคนวิ่งวุ่น เสาะแสวงหาคำตอบที่ตนอยากได้


“เราแสวงหาอะไร?”
ริค วอร์เรน เขียนไว้ในตอนหนึ่งของหนังสือ “ชีวิตที่เคลื่อนไปด้วยวัตถุประสงค์” ว่า “ผมเคยอ่านหนังสือหลายเล่มที่เสนอแนวทางในการค้นพบวัตถุประสงค์ของชีวิต ทุกเล่มสามารถจัดอยู่ใน ประเภทหนังสือ “ทำด้วยตัวเอง” (Self Help) เพราะว่าหนังสือเหล่านี้จัดการปัญหานี้ด้วยมุมมองที่มีตัวเองเป็นศูนย์กลาง หนังสือประเภททำด้วยตัวเองนี้ แม้จะเป็นหนังสือคริสเตียน ก็มักจะเสนอขั้นตอนในการค้นหาวัตถุประสงค์ของชีวิตที่เหมือนๆ กัน จนเราคาดเดาได้ เช่น ให้พิจารณาความฝันของคุณ ระบุค่านิยมของตัวเองให้ชัดเจน กำหนดเป้าหมายบางอย่าง ค้นหาว่าตัวเองเก่งด้านไหน ตั้งเป้าให้สูงเข้าไว้ ทุ่มเทเพื่อสิ่งนั้น มีวินัย เชื่อว่าคุณสามารถบรรลุเป้าหมายนั้นได้ มีส่วนร่วมกับคนอื่น อย่ายอมแพ้ แน่นอน คำแนะนำเหล่านี้มักจะนำไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ คุณมักจะบรรลุเป้าหมายบางอย่างได้ถ้าคุณใส่ใจกับมัน แต่การประสบความสำเร็จกับการบรรลุวัตถุประสงค์ของชีวิตนั้น มันเป็นคนละเรื่องกันเลย คุณอาจบรรลุเป้าหมายส่วนตัวและประสบความสำเร็จ น่าสรรเสริญตามมาตรฐานของโลก ทว่ายังคงพลาดไปจากวัตถุประสงค์ที่พระเจ้าทรงสร้างคุณมา คุณต้องการมากกว่าคำแนะนำประเภททำด้วยตัวเอง

อะไรคือความวางใจของคุณ?
สดุดี 146:3-4 กล่าวว่า “3อย่าวางใจในเจ้านาย ในมนุษย์ซึ่งไม่สามารถช่วยได้ 4เมื่อลมหายใจของเขาพรากไป เขาก็กลับเป็นดิน ในวันเดียวกันนั้นความคิดของเขาก็สูญสิ้นไป”
ถ้าเราให้เรื่องเงินเป็นใหญ่ เราจะต้องดิ้นรนเพื่อทำงานหาเงิน พระคัมภีร์เตือนให้เราระวังตัวจากการรักเงินทอง 1 ทิโมธี 6:10 บอกว่า “เพราะว่าการรักเงินทองเป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งหมด ความโลภเงินทองนี้ที่ทำให้บางคนหลงไปจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์มากมาย”
อย่าลืม ว่าคุณเป็นใครในพระคริสต์ คุณเป็น “บุตรพระเจ้า”

สายไฟเพียงอย่างเดียวไม่อาจทำให้มีไฟฟ้า แต่สายไฟที่เชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าต่างหากจะส่องสว่างอย่างแน่นอน

(อ่านต่อในฉบับถัดไป)

7840d649-6783-4c67-9a29-311f5f1951b1

Read More

ความช่วยเหลือของคุณมาจากไหน? (ฉบับที่ 2)

เอลียาห์ผู้เผยพระวจนะ (1พงศ์กษัตริย์ บทที่ 17)
พระเจ้าทรงเรียกเอลียาห์ให้ไปซ่อนตัวอยู่ข้างลำธารเครีท ให้ดื่มน้ำจากลำธาร และให้กาคาบขนมปังและเนื้อมาเลี้ยงเอลียาห์ทุก ๆ วัน
แต่แล้ว “ต่อมาภายหลังลำธารก็แห้ง เพราะไม่มีฝนในแผ่นดิน”
“น้ำในลำธาร แม้จะมีมาก แต่ก็มีวันแห้ง” ขนมปังและเนื้อก็มีวันหมดลง ถ้าเอลียาห์จดจ่ออยู่ที่น้ำในลำธารหรือกาที่คาบอาหารมาให้ เอลียาห์จะผิดหวัง แต่เอลียาห์สามารถไว้วางใจในพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมเพื่อเอลียาห์ พระองค์ทรงเรียกให้เอลียาห์ลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัท ในเมืองไซดอน
พระเจ้าทรงบัญชาให้หญิงม่ายคนหนึ่งเลี้ยงดูเอลียาห์
พระเจ้าไม่ได้เรียกเอลียาห์ไปหาคนร่ำรวย แต่ทรงเรียกให้ไปหาคนยากจนที่มีเพียงแป้งกำมือหนึ่ง ซึ่งเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของนางและลูกชาย

1 พงศ์กษัตริย์ 17:10-16
10ท่านจึงลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัท และเมื่อมาถึงประตูเมือง นี่แน่ะ หญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นกำลังเก็บฟืน ท่านจึงเรียกนางว่า “ขอน้ำเล็กน้อยใส่ภาชนะมาให้ฉันสักหน่อย เพื่อฉันจะได้ดื่ม” 11ขณะเมื่อนางจะไปเอาน้ำมา ท่านก็เรียกนางแล้วบอกว่า “ขอนำขนมปังใส่มือมาให้ฉันสักหน่อยหนึ่ง” 12และนางตอบว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ดิฉันไม่มีขนมปังเลย มีแต่แป้งสักกำมือหนึ่งในหม้อ และน้ำมันเล็กน้อยในไห ดูสิ ฉันกำลังเก็บฟืนสองสามอัน เพื่อจะเข้าไปทำขนมสำหรับตัวเองและลูกชาย เพื่อเราจะได้กินแล้วก็ตาย” 13และเอลียาห์บอกนางว่า “อย่ากลัวเลย จงไปทำตามที่เธอพูด แต่จงทำขนมก้อนเล็กให้ฉันก่อน แล้วเอามาให้ฉัน ภายหลังจึงทำสำหรับตัวเธอและลูกของเธอ 14เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘แป้งในหม้อนั้นจะไม่ขาด และน้ำมันในไหนั้นจะไม่หมด จนกว่าจะถึงวันที่พระยาห์เวห์ทรงส่งฝนลงมายังพื้นดิน’ ” 15นางก็ไปทำตามคำของเอลียาห์ แล้วนางและครอบครัวกับเอลียาห์ก็รับประทานอยู่หลายวัน 16แป้งในหม้อก็ไม่ขาด และน้ำมันในไหก็ไม่หมด ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งตรัสทางเอลียาห์”

ความช่วยเหลือของคุณมาจากไหน?
“ความช่วยเหลือของข้าพเจ้ามาจากพระยาห์เวห์ ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก” พระเจ้าทรงเป็น “แหล่งแห่งทรัพยากร” ของเอลียาห์ ท่านสามารถวางใจในการจัดเตรียมของพระเจ้าได้เสมอ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ใด ก็จง “อย่ากลัว” เพราะพระเจ้าทรงเป็นความหวังใจของเรา ทรงเป็นความครบบริบูรณ์ของเรา ทรงเป็นกำลัง เป็นร่มกันความร้อน เป็นที่ลี้ภัย เป็นป้อมปราการ เป็น “ทุกสิ่ง” ให้เรา เราไม่ต้องกังวลต่ออนาคตที่ยังมาไม่ถึง เพราะพระเจ้าทรง “รับรองเรา” เราเป็น “บุตรพระเจ้า”
ระบบของโลกอาจจะกำลังล้มเหลว แต่จงวางใจในพระเจ้า จงให้ “พระเจ้า” เป็นแหล่งทรัพยากรของคุณ— ลองคิดดูสิว่า ถ้าเอลียาห์จดจ่อกับลำธารและนกกา เอลียาห์จะต้องผิดหวังเพียงใด? เมื่อพระเจ้าทรงนำเราไปสู่ สถานการณ์ที่ยาก จงโมทนาขอบพระคุณพระเจ้า (ตัวอย่าง: โยเซฟกล่าวกับพวกพี่ว่า “พวกท่านคิดร้ายต่อเราก็จริง แต่ฝ่ายพระเจ้าทรงดำริให้เกิดผลดีดังที่เป็นอยู่วันนี้ คือช่วยชีวิตคนเป็นอันมาก”)
เมื่อคนแห่งความเชื่อถูกนำให้เผชิญหน้ากับทางตัน เขาจะ “นิ่ง” และ “มองหาความช่วยเหลือจากพระเจ้า” เพราะเขาหวังใจในพระสัญญาของพระเจ้า คุณต้องเลือกว่าจะฟังคำมุสา(ของมาร) หรือความจริงจากพระเจ้า

ad9d1fcd-0598-45a5-95b2-271012f02a84

Read More

ความหมาย “เมื่อบอกว่าเรารู้จักพระเจ้า”

เปาโลเทศนาในกรุงเอเธนส์ ที่สภาอาเรโอปากัส (เนินเขาอาเรโอปากัส)เมื่อเปาโลไปกรุงเอเธนส์ ท่านได้พบแท่นที่เขียนไว้ว่า แด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก ท่านจึงใช้เรื่องนี้ในการประกาศให้ชาวเอเธนส์ได้รู้จักพรเจ้าที่แท้จริง แม้ชาวเอเธนส์จะนมัสการพระเจ้ามากมายก็ตาม แต่เขายังเชื่อว่ายังมีพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกแต่พวกเขาไม่รู้ว่า พระเจ้าองค์นั้นเป็นผู้ใด แล้วเราละสามารถบอกได้หรือไม่ว่า พระเจ้าที่เราเชื่อนี้เป็นผู้ใด พระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนดังนี้ว่า ...
เรื่อง แท่นบูชาแด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก (พวกเขานมัสการทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จัก) ด้วยความรู้สึกว่าอาจจะยังหลงเหลือพระเจ้าที่เขาไม่ได้แสวงหา เพราะไม่รู้จึงนมัสการเผื่อไว้ ในคำเทศนานั้นเปาโล ประกาศชัดเจนว่า มีพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง และพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ (โปรดอ่านและทบทวน กจ 17: 16 – 31)
แต่เมื่อท่านเปาโล ถูกจองจำอยู่ในคุกใต้ดินในช่วงสุดท้ายของชีวิต ในจดหมายฉบับสุดท้ายที่เขียนก่อนถูกประหารชีวิต เพราะการรับใช้พระเจ้า ที่เขียนถึง ทิโมธี เปาโลยืนยันว่า “แต่ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าเชื่อ” ( 2 ทธ 1 : 12) ซึ่งเราจะเห็นถึงความแตกต่าง ระหว่างชาว เอเธนส์ กับ เปาโล ที่เราน่าจะนำกลับมาทบทวนตนเองว่า เรารู้จักกับพระเจ้าที่เราเชื่ออยู่อย่างแท้จริงหรือไม่ เราบอกว่าเราเชื่อพระเยซูคริสต์ เราเชื่อแบบใหน การนมัสการพระองค์ของเรา และการดำเนินชีวิต เป็นเพียงการประกอบพิธีการทางศาสนา การปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ เป็นเหมือนคนเรียนวิชาศีลธรรม ที่เพียงท่องเอา แต่ไม่มีแนวทางการดำนินชีวิตที่สอดคล้องกันหรือไม่
ขอหนุนใจให้เราทุกคน ตั้งเป้าหมายที่จะรู้จัก และมีชีวิตที่เข้าสัมพันธ์สนิทเป็นส่วนตัวกับพระองค์ เพราะเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับผู้เชื่อทุกคน (ยรม 9:23-24, ยน 15 : 1 – 5, ยก 4: 8 )
การรู้จักพระเจ้าคือการมีความเข้าใจในความเชื่อ ทำไมเราจึงเชื่อ รู้ว่าเราเชื่ออะไร และเรามีความมั่นใจอย่างไร ขอให้เรามาตรวจสอบดูว่าเรารู้อะไรบ้าง

เมื่อเปาโลไปกรุงเอเธนส์ ท่านได้พบแท่นที่เขียนไว้ว่า แด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก ท่านจึงใช้เรื่องนี้ในการประกาศให้ชาวเอเธนส์ได้รู้จักพรเจ้าที่แท้จริง แม้ชาวเอเธนส์จะนมัสการพระเจ้ามากมายก็ตาม แต่เขายังเชื่อว่ายังมีพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกแต่พวกเขาไม่รู้ว่า พระเจ้าองค์นั้นเป็นผู้ใด แล้วเราละสามารถบอกได้หรือไม่ว่า พระเจ้าที่เราเชื่อนี้เป็นผู้ใด พระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนดังนี้ว่า ...
1 เรารู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยโลกให้รอด (ยน 4:41-42) ชาวสะมาเรียได้อยู่กับพระเยซูสองวัน หลังจากที่ฟัง และได้สัมผัสถึงพระเมตตาของพระองค์ (ปกติคนยิวจะดูหมิ่นและไม่คบหาคนสะมาเรีย (ยิวที่เป็นลูกครึ่ง) ทำให้เขาบอกกับหญิงสะมาเรียผู้ที่แนะนำให้พวกเขามาหาพระเยซูว่า การได้ยินพระองค์ทำให้เขามั่นใจว่าพระเยซูคือพระผู้ช่วยโลกให้รอด เมื่อเราได้ยินเรื่องของพระองค์และตั้งใจแสวงหา เราก็จะสัมผัส และประจักษ์ถึงความจริงนี้ (กจ 4:12, 16:31, 17:27, โรม 10:9-10, 1 ยน 4:14)


(ต่อฉบับหน้า)
บทความโดย ศจ.เดชา อังคศุภรกุล

f9ba8cfb-f60d-4ff3-ab17-c6585b9e5365

Read More

ความหมาย “เมื่อบอกว่าเรารู้จักพระเจ้า” (ฉบับที่ 2)

. เรารู้ว่า พระเจ้า ทรงพระชนม์อยู่ตลอดนิรันดร์ ( โยบ 19:25) เมื่อโยบเผชิญปัญหามากมาย และยังถูกเพื่อนรุมกันชี้นิ้วว่าเขาต้องทำอะไรผิดบาปจึงต้องได้รับทุกข์อย่างมหันต์ เขายืนยันความบริสุทธิ์ของตน และกล่าวอย่างมั่นใจว่า พระเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่และเขาจะได้พบกับพระองค์ เช่นกัน คริสตชนเชื่อในการทรงพระชนม์ของพระเยซู การถูกตรึงและฝังไว้สามวัน พระองค์ฟื้นคืนพระชนม์ ปรากฎแก่เหล่าสาวก หลังจากนั้นสาวกออกไปประกาศ สาระสำคัญของพระกิตติคุณคือ พระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์ ทุกคนสามารถพบกับพระองค์ได้ เรื่องนี้ได้มีผู้ที่พยายามหักล้างแต่ยังไม่มีใครทำสำเร็จ มีผู้ที่พยายามหาเหตุผลมาต่อสู้โดยการศึกษาค้นคว้า สุดท้ายส่วใหญ่หันมารับเชื่อและติดตามพระองค์ (ฮบ 13:8, 11:6, 1 คร 15:3-4, กจ 2:14-36, 3:11-26, 4:5-12 ฯลฯ )
3 เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยผู้ที่รักพระองค์ให้เกิดผลดีในทุกสิ่ง (โรม 8:28) เราต้องตระหนักว่าเราอยู่ในโลกที่มีความบาปและคนบาปอยู่ ชีวิตคริสเตียนจึงไม่ใช่ชีวิตที่เสวยสุข อย่างที่มีคำสอนตกขอบมักจะบอกว่า ถ้าเชื่อพระเจ้าแล้วมีปัญหา หรือยากจน หรือเจ็บป่วยแสดงว่าขาดความเชื่อ แต่ในความเป็นจริง พระเยซูทรงบอกเราว่าจะประสบความทุกข์ยาก ( ยน 16:33, โรม 8:35-38, 1ปต 4:12, สดด 34:19) เปาโลบอกว่าชีวิตต้องพบสถานการณ์ต่าง ๆ (ฟป 4:12-13) แต่พระเจ้าสัญญาว่าจะทรงสถิตกับเรา บางครั้งพระเจ้าอนุญาตให้เราผ่านความยากลำบาก เพื่อเตรียมอนาคตที่ดีให้กับเรา เมื่อเราผ่านวาระนั้นไป เราจะมั่นคงยิ่งขึ้น ตัวอย่างอย่าง โยเซฟ จากพระธรรมปฐมกาล บทที่ 37 – 50 ชีวิตต้องเผชิญ ถูกพี่ชายริษยา ขายไปเป็นทาส แต่พระเจ้าทรงสถิตกับเขา ต่อมาถูกใส่ร้าย ต้องไปติดคุกทั้งที่ไม่มีความผิด แต่พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย แล้วยังถูกลืม รวมระยะเวลา 13 ปี แต่เมื่อถึงเวลาที่พระเจ้าทรงยกชูขึ้น ออกจากคุกกลายเป็อุปราชของอียิปต์ในวันเดียว เหตุการณ์ของชีวิตได้สร้างใจที่เมตตา ทำให้เขาช่วยชีวิตคนมากมายในช่วงกันดารอาหาร 7 ปี และยังมีใจอภัยให้แก่พี่ที่ทำร้ายเขา นอกจากนั้นพระเจ้ายังขัดเกลานิสัยชอบอวด ขี้ฟ้องไปจากชีวิต ดังนี้ขอให้เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยเราแม้ทรงอนุญาตให้เราผ่านความยากลำบากด้วย
เรารู้ว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมา ( 1 ยน 3:2) วันที่พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ทูตสวรรค์ได้บอกพวกสาวกว่าพระเยซูจะกลับมาอย่างที่เขาเห็นพระองค์เสด็จขึ้นไป (กจ 1:11) พระเยซูเองทรงบอกเราว่าพระองค์จะเสด็จกลับมา (มธ บทที่ 24 ฯลฯ) และกลับมาเพื่อเปลี่ยนแปลงกายใหม่ให้เรา ทั้งคนที่ตายไปแล้ว และคนที่ยังเป็นอยู่ ซึ่งเป็นความหวังสำหรับผู้เชื่อทุกคน ( 1 ธส 4:13 – 17, 2 คร 5:1 – 10, 1 คร 15:51 – 58)
ดังนั้ขอให้เรามั่นคงอยู่ในความเชื่อ และขอพระเจ้าทรงช่วยเราให้มีประสบการณ์เป็นส่วนตัวกับพระองค์ เมื่อต้องประสบกับความยากลำบากให้เราเรียนรู้ที่จะขอบคุณพระเจ้า และวางใจว่าพระองค์จะไม่ทิ้งเราให้เป็นลูกกำพร้า ( ยน 14:18, 27) ถ้าเราสามารถจะบอกเหมือนเปาโลว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าเชื่อ” ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรารู้และมั่นใจในพระเจ้าได้

บทความโดย ศจ.เดชา อังคศุภรกุล

f14d6551-3b96-44e0-9d4e-70954470a32d

Read More

ชีวิตที่สวยงาม

1 เธสะโลนิกา 5.16-18
“จงชื่นบานอยู่เสมอ จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับพวกท่านในพระเยซูคริสต์”

ก่อนหน้านี้ในข้อที่ 12-13 อาจารย์เปาโลได้กำชับพี่น้องให้เชื่อฟังและเคารพผู้นำคริสตจักรและหนุนใจกันในการรับใช้พระเจ้า
ในข้อที่ 14-15 อาจารย์เปาโลได้หนุนใจผู้เชื่อให้รับใช้พระเจ้า หนุนใจคนที่อ่อนกำลังให้มีกำลัง หนุนใจผู้เชื่อให้มีความอดทนต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่เข้ามาในชีวิต กำชับว่า “อย่าทำชั่วตอบแทนการชั่ว แต่จงแสวงหาการทำดีต่อผู้อื่นอยู่เสมอ” สิ่งเหล่านี้เป็น ชีวิตพื้นฐานของเราทั้งหลายที่กระทำอยู่
แต่สิ่งที่ผมอยากจะหนุนใจพี่น้องทุกท่านอยู่ในข้อที่ 16-18 มีอยู่ด้วยกัน 3 จง
1. จงชื้อบานอยู่เสมอ (16)
คำว่า “จงชื่นบานอยู่เสมอ”
ความชื่นบานส่วนใหญ่แล้วมักมาจาก อารมณ์และความรู้สึก เหมือนกับ คนที่คลอดลูกและได้เห็นหน้าลูก เหมือนคนที่ทำผิดแล้วได้รับการอภัย เหมือนกับคนเจ็บปวดทั้งฝ่ายร่างกายและจิตใจได้รับการรักษา และมีความชื่นบานเต็มเปลี่ยม นั้นคือความชื่อบาน
คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ก็มีความชื่นบานได้เหมือนกัน คนเหล่านั้นมักจะพึ่งอาศัยสิ่งแวดล้อมและวัตถุต่างๆเป็นตัวกำหนดความชื่อนบานของพวกเค้า เมื่อเขาได้สิ่งที่พอใจเขาจะรู้สึก Happy เมื่อเขาได้สิ่งที่อยากได้ เขาจะรู้สึกชื่นชมยินดี แต่สิ่งเหล่านี้ไม่แน่นอน และเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ดังนั้นบางครั้งมีความชื่นบาน บางครั้งไม่มี เมื่อได้ในสิ่งที่อยากได้ความชื่นบานจะเต็มเปี่ยม แต่ถ้าไม่ได้ความชื่นบานนั้นหายไป
ความชื่นบานในชีวิตคริสเตียนของเราไม่ควรตังอยู่กับสิ่งแวดล้อมและวัตถุต่างๆ ความชื่นบานหรือการชื่นชมยินดี ในชีวิตคริสเตียนควรตั้งอยู่โดยการพึ่งอาศัยพระเยซูคริสต์ ความชื่นบานที่ตั้งอยู่ในองค์พระเยซูคริสต์จะไม่มีใครหรือเหตุการใดเอาความชื่นบานจากเราไปได้
ในบางครั้งเราก็ต้องกลับมาสำรวจชีวิตของเราเองว่า ความชื่นบานของเราถูกกำหนดด้วยสิ่งใด หรือความชื่นบางของเราตั้งอยู่บนสิ่งไหน เมื่อเราพบเจอเรื่องดีๆสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต แน่นอนว่าความชื่นบานของเราเต็มเปี่ยม
แต่ต่างๆถ้าหากในชีวิตของมนุษย์มันไม่ได้เจอแค่สิ่งที่ดี ไง มันมีเรื่องราวและเหตุการณ์ที่โหดร้ายเข้ามาในชีวิตอยู่เสมอ และเหตุการณ์บางอย่างอาจทำให้หัวใจของเราอ่อนแอ ถามตัวเราเองว่าเมื่อเจอกับสิ่งที่เราไม่คาดคิด และสถานการณ์ที่ ไม่ได้เป็นไปตามที่เราหวัง ความชื่นบานหรือความชื่นชมยินดียังคนอยู่กับท่านหรือไม่
ตัวอย่าง อ.เปาโลได้ ท่านเองชื่นบานอยู่เสมอ แม้เมื่อถูกจำจองอยู่ในคุกด้วยท่านก็ยังกล่าวว่า “ข้าพเจ้ามีใจชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างยิ่ง...” แม้ว่าจะพบเจอกับการถูกข่มเหงใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก
ความชื่นบานของคริสเตียนไม่ควรถูกถูกจำกัดด้วยสิ่งใดเลย คนที่แน่ใจว่า พระเยซูทรงสถิตอยู่ในเขาและเขาอยู่ในพระเยซูเหมือนอย่างเปาโล เขาจะสามารถชื่นชมยินดีอยู่เสมอได้ เพราะความชื่นบานของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมหรือวัตถุ แต่ขึ้นอยู่กับพระเยซูคริสต์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ตลอดกาล เพราะว่า เมื่อเราอยู่ในพระเยซูความสวยงามแห่งชีวิตคริสเตียนจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นบานอยู่เสมอ

b7074b6f-5ff9-4a1c-add3-0525a5b01049

Read More

ชีวิตที่สวยงาม (ฉบับที่ 3)

1 เธสะโลนิกา 5.16-18
“จงชื่นบานอยู่เสมอ จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับพวกท่านในพระเยซูคริสต์”
3. ชีวิตที่สวยงาม คือ ชีวิตที่ขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี (18)
จงขอบพระคุณในทุกกรณี...
โดยทั่วไปแล้วเมื่อเกิดเรื่องดีๆเข้ามาในชีวิต เราก็สามารถของคุณพระเจ้าได้อย่างไม่ยากนัก
หากเรื่องดีๆไม่เกิดขึ้นตามที่เราต้องการ เราก็ไม่ค่อยมีอารมณ์อยากของคุณพระเจ้าเท่าไร
ยิ่งถ้าเกิดเรื่องไม่ดีหรือปัญหาประดังเข้ามาในชีวิต เป็นเรื่องที่ยากที่จิตใจและท่าที จะแสดงออกถึงการขอบคุณพระเจ้าจริงๆ มันจะเป็นเรื่องที่ยากขึ้นไปอีก บางที่ปากของเราขอบคุณพระเจ้าแต่ภายในจิตใจเราอาจจะรู้สึกแย่ ก็เป็นไปได้

อาจารย์เปาโลได้ขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี เขาได้ขอบพระคุณพระเจ้าในขณะที่ถูกจำจองอยู่ในคุก ขอบพระคุณพระเจ้าในขณะที่ถูกเฆี่ยนตีเพราะประกาศพระนามพระเยซู เราสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ไหมกับเหตุการณ์ที่เรา “ทำดีแทบตาย แต่สิ่งที่ได้รับนั้นคือคำบ่นและคำต่อว่า” หรือเราบอกกกับตัวเองว่า รู้งี้ไม่ทำดีกว่า ไปทำงานอย่างอื่นดีกว่า ได้เงินดีกว่า สนุก สะดวก สบาย กว่ากันเยอะ ถามตัวเองว่าเราสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ไหม
การขอบคุณพระเจ้านั้น เป็นตัวบ่งชี้ถึงความสัมพันธภาพที่แท้จริงของเรากับพระองค์
การขอบคุณพระเจ้าแม้สถานการณ์ในชีวิตมันไม่ ok และมันเป็นเครื่องยืนยันว่าเราเองรู้จักพันธสัญญาของพระเจ้าและเราเชื่อในพันธสัญญาของพระองค์ จริงๆ
อ.เปาโล ได้บอกกับเราว่า “จงขอบพระคุณในทุกกรณี” เป็นเหมือกับ ให้เราดำเนินชีวิตโดยการมองดูชีวิตในแง่บวก

เมื่อเรายืนหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ เงาจะอยู่เบื้องหลังของเรา ซึ่งมองไม่เห็น แต่เมื่อเรายืนหันหลังให้ดวงอาทิตย์ เงาจะอยู่ตรงหน้าเรา

ชีวิตมนุษย์จะสว่าง หรือมืด ก็ขึ้นอยู่กับว่า เขายืนมุ่งหน้าไปทิศไหน บางคนดำเนินชีวิตโดยการมองดูความมืดในชีวิต และบางคนก็ดำเนินชีวิตโดยการมองดูความสดใสแห่งชีวิต คนที่ดำเนินชีวิตด้วยการมองดูความมืดแห่งชีวิตนั้น ไม่มีความเชื่อในพระเจ้า ไม่มีความรักและไม่มีความหวัง แต่คนที่ดำเนินชีวิตด้วยการมองดูความสดใสแห่งชีวิตนั้นมีความไว้วางใจในพระเจ้า มีความรักและมีความหวังด้วย
เปาโลได้ท้าทายเราด้วยการกล่าวว่า “จงขอบพระคุณพระเจ้าเพราะของประทานซึ่งพระองค์ทรงประทานนั้นที่เหลือพรรณนาได้” (2คร.9.15) สำหรับคนที่มองดูทุกอย่างด้วยแง่บวกและขอบพระคุณพระเจ้า ประตูแห่งความหวังเปิดอยู่เสมอ แต่ส่วนคนที่ไม่มีการขอบพระคุณ ประตูแห่งอนาคตก็ปิดอยู่จนกว่ากลับมาขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี
บางครั้งเรามักลืมขอบคุณพระเจ้า ไม่ว่าสภาพเช่นไร จงขอบคุณทุกกรณี นี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ในเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่สามารถเข้าใจได้ สับสน แต่ขอให้ขอบคุณเถิดครับ เพื่อจะได้ไม่เสียใจภายหลัง ที่บ่นไปแล้วแต่ว่าผลแห่งปัญหาอุปสรรคกลับกลายเป็นพระพรตามมา

cc02b4ae-039c-4805-8d9b-1d53928b198e

Read More

ชีวิตที่สวยงาม (ฉบับที่ 2)

1 เธสะโลนิกา 5.16-18
“จงชื่นบานอยู่เสมอ จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับพวกท่านในพระเยซูคริสต์”
2. ชีวิตที่สวยงาม คือ ชีวิตอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ
“จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ”
เราเคยได้ยินประโยคที่ว่า“การอธิษฐานเหมือนการหายใจ”
เรารู้ว่าการอธิษฐานเป็นสิ่งสำคัญของผู้รับใช้แต่บ่างครั้งอาจจะเป็นเรื่องยากที่เราจะใช้เวลาในการพูดคุยกับพระเจ้าได้ไม่นาน เมื่อใดที่เราอยู่ช่วงเวลาที่ดื่มด่ำกับพระเจ้าเราก็จะขะมักเขม้นในการอธิษฐานใช้เวลาในการพูดคุยกับพระเจ้ามากคน แต่ในบางช่วงเวลา เราก็อาจทำไปตามหน้าที่ ทำตามบทบาท
สิ่งที่อาจารย์ เปาโลได้จึงหนุนใจผู้เชื่อในจดหมายหลายๆฉบับ “จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ”
(1เธสะโลนิกา5:17)“จงขะมักเขม้นอธิษฐาน” (โรม 12:12) และ “จงอุทิศตนในการอธิษฐาน”
(โคโลสี 4:2) ไม่ใช้แค่อาจารย์เปาโล เท่านั้นที่ได้เน้นย้ำถึงเรื่องการอธิษฐาน แต่ตลอดพระคัมภีร์ทั้งเล่มได้พูดถึงการอธิษฐานอยู่ 295 ครั้งและมีหลากหลายวิธีในการอธิษฐาน ดังนั้นแล้วการอธิษฐานเป็นเหมือนรากฐานชีวิตของเราเป็นเรื่องพื้นฐานของคริสเตียนที่จำเป็นอย่างมากสำหรับเราทั้งหลาย
การอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ จึงหมายถึง การดำเนินชีวิตด้วยการพูดคุยกับพระเจ้า รวมไปการมีสติและรู้ว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราด้วย เพราะเราทุกคนต่างมอบชีวิตในการรับใช้พระเจ้า เมื่อใดที่เรารู้สึกคิด กังวลใจ หวาดกลัว หมดหวัง โกรธ อารมณ์ไม่ดี หรือมีความรู้สึกในด้านลบ เราต้องกลับไปสู่การอธิษฐานโดยเร็ว
จริงอยู่ว่าเราบางครั้งเราไม่สามารถใช้เวลาของเราทั้งหมดในการคุกเข่าลงอธิษฐานกับพระเจ้าโดยการพูดได้ แต่เราสามารถที่จะใช้เวลาของเราทั้งหมด หรือการงานที่เรากำลังทำ ไว้วางใจในพระองค์ เราทุกคนต่างยอมรับว่า พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตามทำอะไร การยินยอมมอบชีวิตของเราให้พระองค์และเลือกที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ และน้ำพระทัยของพระองค์คือการที่ได้เห็นเราอธิษฐานกับพระองค์
คนที่อธิษฐานอย่างสม่ำเสมอเป็นคนมีความสุขที่อยู่ในพระทรวงของพระองค์และอยู่ในหัวใจของธรรมิกชนด้วย
ดังนั้นแล้ว การอธิษฐานเป็นความตั้งใจ ตั้งจิตปราถนาที่จะติดต่อกับพระเจ้า และมุ่งผลอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อเราเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว เราเป็นบุตรของพระองค์ เราย่อมมีความสัมพันธ์กับพระบิดาในการพูดคุย สนทนา ฟังเสียงของพระองค์ผ่านการอธิษฐาน
ทำไมต้องอธิษฐาน?
เป็นคำสั่ง พระคัมภีร์สั่งให้เราอธิษฐาน (1ธส.5:17 “จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ”)
- ยอมรับว่าเราอ่อนแอ
- เป็นการยอมรับสิทธิอำนาจของพระเจ้า โดยให้เหตุการณ์ทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า
- เป็นสิทธิที่เราจะอธิษฐานขอการช่วยเหลือ
- เราอธิษฐานเพื่อให้มีชัยชนะเหนือการทดลอง
- เพื่อชีวิตเราจะเกิดผล และติดสนิทกับพระเจ้า (ยน.15:1-7)
- เพื่อรับพระพรและความเจริญก้าวหน้าจากการทรงนำของพระเจ้า (โยบ 8:6-7)
(ต่อฉบับหน้า)

3ffbdcdc-400c-4b00-a04f-710666e3188a

Read More

ซ้ำแล้วซ้ำอีก

เพลงสดุดี 103:12 “ตะวันออกไกลจากตะวันตกเท่าใด พระองค์ทรงปลดการละเมิดไปไกลจากเราเท่านั้น”

กลอุบายที่มีอานุภาพร้ายแรงที่สุดอย่างหนึ่ง ที่ซาตานเล่นอุบายต่อคริสเตียน คือทำให้เราเชื่อว่าความบาปของเราแท้จริงไม่ได้รับการอภัย ถึงแม้ว่ามีพระสัญญาโดยพระคำของพระเจ้า ถ้าเราต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดโดยความเชื่อ และยังคงมีความรู้สึกไม่สบายใจ ว่ามีการยกโทษบาปจริงๆ หรือไม่ นั่นอาจมาจากอิทธิพลของมารร้าย มารร้ายเกลียดชังเมื่อประชาชนถูกปลดปล่อยพ้นจากบ่วงแร้ว และพวกมันพยายามหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยลงไปในจิตใจของเราเกี่ยวกับความรอดว่ามีจริงหรือไม่ ในคลังแห่งเล่ห์เหลี่ยมมากมายมหาศาล อาวุธหนึ่งของซาตานคือ เพื่อย้ำเตือนให้เรานึกถึงการล่วงละเมิดของเราในอดีต และมันใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อบอกเราว่า พระเจ้าไม่ทรงสามารถอภัยบาปของเราหรือนำเรากลับสู่สภาพเดิมได้ การโจมตีของมารร้ายช่างท้าทายเราจริงๆ เพียงแต่เราจะหยุดพักสงบในพระสัญญาของพระเจ้า และไว้วางใจในพระองค์

แต่เพลงสดุดีบทนี้ได้สอนเราว่า พระเจ้าไม่เพียงทรงให้อภัยความบาปของเรา แต่ทรงชำระล้างมันออกไปจนหมดสิ้นจากพระพักตร์ของพระองค์ นี่คือเรื่องที่ลึกซึ้งมากเหลือเกิน ปราศจากข้อสงสัย นี่คือแนวความคิดที่ยากลำบากสำหรับเราที่ยึดไว้ ซึ่งคือเหตุผลว่า ทำไมมันง่ายสำหรับเราที่จะกังวลและสงสัยเกี่ยวกับการให้อภัยบาป แทนที่จะยอมรับมัน กุญแจสำคัญอยู่ที่เพียงแค่ยกเลิกความสงสัยและความรู้สึกต่างๆ ต่อบาป และพักสงบในพระสัญญาแห่งการทรงให้อภัย

1 ยอห์น 1:9 “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และ
จะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น”

สิ่งนี้เป็นพระสัญญาที่เหลือเชื่อ พระเจ้าทรงยกโทษแก่บุตรของพระองค์ เมื่อพวกเขากระทำบาป ถ้าเพียงแต่พวกเขามาหาพระองค์ และอยู่ในท่าทีของการสำนึกผิดต่อบาป และทูลขอการยกโทษให้ พระคุณพระเจ้ายิ่งใหญ่เสียจนมันสามารถลบล้างคนบาปให้พ้นมลทินบาป เพื่อว่าเขาจะกลายเป็นบุตรของพระเจ้า แม้เมื่อเราสะดุดล้มลงในบาป เรายังสามารถได้รับการยกโทษได้

มัทธิว 18:21-22 “ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ควรยกโทษให้พี่น้องที่ทำผิดต่อข้าพระองค์สักกี่ครั้ง? ถึงเจ็ดครั้งเชียวหรือ?’ พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าเจ็ดครั้งแต่เจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด”

เปโตรอาจจะกำลังคิดว่าเขามีน้ำใจกว้างขวาง แทนที่จะชดใช้ต่อบุคคลผู้ที่กระทำบาปต่อเขาอีกครั้ง ด้วยการลงโทษที่เท่าเทียมกัน เปโตรแนะนำให้พี่น้องมีทางที่เลี่ยงได้ กล่าวคือ มากถึงเจ็ดครั้ง แต่ในครั้งที่แปด การยกโทษและพระคุณจะหมดสิ้นไป แต่พระคริสต์ทรงแย้งกฎข้อบังคับระดับพระคุณที่เปโตรแนะนำสั่งสอน โดยตรัสว่า การยกโทษบาปไม่มีจำกัดสำหรับบรรดาผู้ที่จริงใจแสวงหาการยกโทษ สิ่งนี้เป็นไปได้ เพราะพระคุณอันไม่จำกัดของพระเจ้า ซึ่งกระทำผ่านการหลั่งพระโลหิตของพระคริสต์บนกางเขน เป็นเพราะฤทธิ์อำนาจการยกโทษให้ของพระคริสต์ เราจึงสามารถรับการชำระให้บริสุทธิ์ได้เสมอ หลังจากที่เราทำบาป ถ้าเราถ่อมใจแสวงหามัน

(อ่านต่อในฉบับถัดไป)

e89e3eae-036c-429c-ae43-c94452481bcd

Read More

ซ้ำแล้วซ้ำอีก (ฉบับที่ 2)

เพลงสดุดี 103:12 “ตะวันออกไกลจากตะวันตกเท่าใด พระองค์ทรงปลดการละเมิดไปไกลจากเราเท่านั้น”
(ต่อฉบับที่แล้ว)

กลอุบายอีกอย่างของซาตานคือ ทำให้เราคิดว่าไม่มีความหวัง ไม่มีโอกาสเป็นไปได้ที่เราสามารถได้รับการอภัย เยียวยารักษาและกลับคืนสู่สภาพเดิม มันพยายามจะทำให้เรารู้สึกไม่เหลืออะไรแล้วและติดกับดักความผิดบาป เพื่อเราจะรู้สึกว่าเราไม่มีค่าพอที่พระเจ้าจะให้อภัยบาปได้อีกต่อไป ทว่า...แล้วอย่างไรเราจึงจะมีค่าควรแก่พระคุณของพระเจ้าล่ะ

พระเจ้าทรงรักเรา ทรงอภัยบาปเรา และทรงเลือกเราให้อยู่ในพระคริสต์ ก่อนที่จะวางรากฐานโลกนี้ ไม่ใช่เพราะการกระทำใดๆ ที่เราได้ทำไป

เอเฟซัส 1:4-6, 12 “4ดังเช่น ในพระคริสต์ พระเจ้าทรงเลือกเราตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก เพื่อให้เราบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์ 5พระองค์ทรงกำหนดเราไว้ล่วงหน้าด้วยความรัก ให้เป็นบุตรของพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ ตามความชอบพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์ 6เพื่อเป็นที่ยกย่องพระคุณอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ที่ทรงให้แก่เราเปล่าๆ ในพระเยซูที่พระองค์ทรงรัก 12เพื่อเราผู้มีความหวังในพระคริสต์ก่อนผู้อื่นจะอยู่เพื่อยากย่องพระเกียรติของพระองค์
เราต้องจดจำไว้เสมอว่า ไม่มีที่ใดที่เราไปแล้วพระคุณพระเจ้าจะตามไปไม่ถึงเรา ไม่มีความลึกใดที่เราจมลงไปแล้ว พระเจ้าจะไม่ทรงสามารถฉุดเราขึ้นมาได้ พระคุณพระเจ้าใหญ่ยิ่งเกินกว่าบาปทุกอย่างของเรา ไม่ว่าเราจะเดินหลงหาย ห่างไปจากทางของพระองค์ หรือเรากำลังจมดิ่งลงไปในความบาป พระคุณของพระเจ้าทรงช่วยเราได้เสมอ

พระคุณ คือ ของประทานจากพระเจ้า
เอเฟซัส 2:8 “เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า”

เมื่อเราทำบาป พระวิญญาณจะทรงทำให้เราตระหนักในบาปจนส่งผลให้เราเศร้าโศกเสียใจ

2 โครินธ์ 7:10-11 “10เพราะว่าความเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า ทำให้เกิดการกลับใจ ซึ่งจะนำไปสู่ความรอดและจะไม่ทำให้เสียใจ แต่ความเสียใจอย่างโลกนั้นย่อมนำสู่ความตาย 11จงดูสิว่าความเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้าเช่นนี้ นำไปสู่การเอาจริงเอาจังเพียงไร และยังทำให้เกิดการขวนขวายที่จะพิสูจน์ตัวเอง เกิดความขุ่นเคือง ความตื่นตัว ความอาลัย ความกระตือรือร้น และเกิดการลงโทษ พวกท่านพิสูจน์ตัวเองในทุกด้านแล้วว่าเป็นผู้ปราศจากความผิดในเรื่องนี้”
มารจะคอยประณามจิตใจเราราวกับว่าไม่มีความหวังเหลืออยู่ แต่เพราะว่าไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์
โรม 8:1 “เพราะฉะนั้นไม่มีการลงโทษคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์”

ความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จของพระวิญญาณภายในเราเป็นการขับเคลื่อนโดยความรักและพระคุณ
พระคุณไม่ได้เป็นขอยกเว้นให้เราทำบาปได้ และมันไม่กล้าที่จะทำให้เสื่อมเสีย หมายความว่า บาปก็ต้องเรียกว่าบาป และมันไม่สามารถถูกกระทำราวกับว่า มันไม่มีอันตรายหรือไม่เป็นภัย

โรม 6:1-2 “1ถ้าอย่างนั้น เราจะว่าอย่างไร? เราจะอยู่ในบาปต่อไปเพื่อให้พระคุณเพิ่มทวีขึ้นหรือ? 2เปล่าเลย เราที่ตายต่อบาปแล้วจะมีชีวิตในบาปต่อไปได้อย่างไร?”

อย่างไรก็ตาม ให้เราพยายามเน้นที่การเยียวยาและการรักษา เพราะเราได้รับพระคุณซ้อนพระคุณ

ยอห์น 1:16 “เพราะเราได้รับพระคุณซ้อนพระคุณจากความบริบูรณ์ของพระองค์”

ขอให้เราได้รับพระคุณแม้เมื่อเราได้ทำบาป โดยการสำนึกผิด และสารภาพบาปของเราต่อพระเจ้า
ทำไมเราจึงยังมีชีวิตที่ทำบาปเมื่อพระคริสต์ทรงประทานการชำระให้เราหมดสิ้นแล้ว และทรงให้เรามีความชอบธรรมของพระเจ้า

d1987d91-f825-4f34-837a-fb2d062c95b8

Read More

ภายใต้ดวงอาทิตย์…ทุกสิ่งมีวาระ

ชีวิตภายใต้ดวงอาทิตย์ สิ่งต่างๆจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามวาระ ตามฤดูกาล เวลาไม่ได้เห็นแก่หน้าใคร ทุกคนล้วนได้เวลาแต่ละวันที่เท่ากันหมด เราไม่สามารถควบคุมเวลาได้ ดูเหมือนเวลาจะเป็นผู้ควบคุมเรามากกว่า ชีวิตมีการผันแปรอยู่ตลอดเวลา บ่อยครั้งดูเหมือนว่าเราสามารถควบคุมสถานการณ์ต่างๆให้เป็นไปตามแผนการณ์ของเรา แต่ก็เป็นความจริงว่ามีไม่น้อยครั้งที่เราต้องปล่อยให้เป็นไปตามวาระ ตามกาลเวลาของมัน อะไรจะเกิดก็ต้องปล่อยให้เกิด อย่างไรก็ตามพระเจ้าได้ทรงบรรจุนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจมนุษย์เพื่อมนุษย์จะเข้าใจชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับมนุษยชาติ ด้วยเหตุนี้มนุษย์ขณะอยู่บนโลกนี้ต้องยำเกรงพระเจ้าและชื่นชมยินดีกับชีวิตที่พระเจ้าทรงประทานให้
แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงและมีความหลากหลายในเรื่องราวต่างๆ แต่ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น ล้วนเป็นประโยชน์สำหรับคนที่รักพระองค์
(โรม 8:28) เพราะพระเจ้าทรงเป็น
ผู้ควบคุมสิ่งเหล่านี้

วาระ การเกิดการตายการปลูกการถอนการฆ่าการักษาการสร้างการทำลายการหัวเราะการร้องไห้ การเต้นรำการไว้ทุกข์
หมายถึง ชีวิตของมนุษย์การเกษตรทางการแพทย์การก่อสร้างชีวิตที่มีกาลเทศะ ความเห็นอกเห็นใจ
วาระ การสวมกอดการงดเว้น
หมายถึง สัมพันธภาพของคู่สมรส
วาระ การรักการเกลียด การรวบรวมหิน การโยนทิ้งน้ำ
หมายถึง การสร้างมิตรภาพหรือการสร้างศัตรู
อะไรควรรักษา อะไรควรอนุรักษ์
วาระ การเก็บรักษาการโยนทิ้ง
หมายถึง อะไรควรโยนทิ้งหรือไม่ต้องซื้อ
วาระ การสงครามการสันติ การพูดการเงียบ
หมายถึง อะไรที่เรามีส่วนร่วม อะไรที่ควรอยู่เฉยๆ ทั้งการพูดหรือการร่วมงาน เพราะบางครั้งการนั่งเฉยก็เกิดประโยชน์กว่าการแสดงความคิดเห็น
วาระ การฉีกขาดการเย็บ
หมายถึง การรู้จักกาลเทศะ อะไร ที่ไหน อย่างไร

โลกนี้อนิจจัง กินลมกินแล้ง ทั้งสั้น ทั้งร้าย ทั้งชั่วคราว และต้องตาย พระธรรมปัญญาจารย์เอ่ยถึง “อนิจจัง” 21 ครั้ง “กินลมกินแล้ง” 7 ครั้ง “ตาย” 7 ครั้ง ชีวิตเปรียบเหมือนวันๆหนึ่ง เปรียบเหมือนหมอกเปรียบเหมือนนักทัศนาจร มนุษย์และสัตว์ก็ต้องตาย คนดีคนชั่วก็ต้องตาย คนชอบธรรม
คนอธรรมก็ต้องตาย คนฉลาดคนโง่ก็ต้องตาย ปัญหาอยู่ที่ว่า “ตายแล้วจะไปไหน”
ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเตรียมวาระและเวลาในอนาคตให้กับมนุษย์
นิรันดร์กาลเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงตระเตรียมไว้สำหรับมนุษย์ เป็นแผนการตั้งแต่เริ่มต้นการทรงสร้าง เป็นน้ำพระทัยสูงสุดของพระเจ้า (3:11-12)
ทุกคนต้องรับการพิพากษาจากพระเจ้าตามผลการกระทำของตนขณะที่อยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ ภายใต้ดวงอาทิตย์มีความตาย แต่เหนือดวงอาทิตย์มีชีวิตนิรันดร์
พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่างบนแผ่นดินโลกนี้ รวมถึงการเป็นเจ้าของเราชีวิตเราด้วย เรายอมมอบถวายชีวิตเวลาครอบครัว การงาน ทรัพย์สินเงินทอง ฯลฯ ให้พระเจ้าควบคุมหรือไม่
ไม่มีวาระใดที่จีรังยั่งยืน ล้วนอนิจจัง ไม่เที่ยงทั้งสิ้น เรายังยึดติดอยู่กับเงินทอง วัตถุ ชื่อเสียง ความสะดวกสบาย และสิ่งรอบกายต่างๆอย่างเหนียวแน่นหรือไม่ ดังนั้น ชีวิตภายใต้ดวงอาทิตย์ สิ่งต่างๆย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามวาระ ตามฤดูกาล ของมัน

d4a770d1-a9dc-4e37-9c3c-2d18948e1ea9

Read More

ลิ้นอยากฟัง...หูอยากพูด

ระยะหลังมานี้ พออายุมากขึ้นผมพยายามทบทวนตัวเองหลายเรื่องด้วยกัน เช่น ตามปกติแล้วผมจะเป็นคนชอบเข้าสังคม พูดคุยทักทายคนนั้นคนนี้ มีสาระบ้างไม่มีสาระบ้าง สุดแต่ใครจะมีอะไรที่ชวนให้พูดคุยด้วย บางเรื่องก็สนุกสนานเพลิดเพลิน บางเรื่องก็น่าเบื่อหน่าย
ด้วยอุปนิสัยจริงๆของตัวเอง เป็นคนชอบสังคม ขนาดนั่งทานอาหารอยู่ในร้านไทยหรือร้านอาหารฝรั่งในต่างประเทศ ผมยังเดินเข้าไปทักทาย บางรายก็แสดงความยินดีว่าเรารู้จักทักทายคนไทยในต่างแดน แต่บางท่านทักแล้วรู้สึกว่าไม่อยากพูดคุยด้วย จนทำให้เรารู้สึกเขินไปก็มี
มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะพูดนานแล้ว คือ คนไทยเราไม่ค่อยแนะนำเพื่อนหรือคนที่มาด้วยให้เพื่อนๆรู้จัก เช่น นาย ก.พาเพื่อนมาที่คริสตจักร แต่ไม่แนะนำให้เพื่อนๆรอบตัวรู้จัก ซึ่งผมเคยสังเกตเห็นหลายครั้ง แต่ถ้าเป็นผมพาเพื่อนมาผมจะแนะนำทุกคนทั้งชื่อและอื่นๆ เพื่อพวกเขาจะได้คุยกันเองโดยไม่ต้องมีเราอยู่ด้วย เพื่อนๆก็จะพูดคุยกันได้อย่างสนิทสนมกันเร็วขึ้น แต่ก็มีหลายครั้งที่เราต้องเข้าไปแนะนำตัวเองก่อนก็ได้ผลดีเช่นเดียวกัน

มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมไม่ค่อยชอบในเวลาพูดคุย เช่น คนที่พูดโดยไม่สนใจคนอื่นอยากฟังไหม ? แล้วเวลามีช่องว่างให้คนอื่นพูดบ้างก็มักจะตัดเรื่องไปเลยในขณะที่ยังพูดอยู่ แสดงว่าไม่อยากฟัง ไม่สนใจ แถมยังพาลากออกทะเล... เราก็ได้แต่อดทนฟังโดยไม่ขัดหรือแย้งประการใด แต่ไม่ลืมแอบจดไว้ว่าเมื่อกี้ถามอะไรเขาไว้ พอเขาพูดจบ เราก็กลับมาเรื่องที่เราต้องการทราบถามใหม่ เป็นต้น
เขียนถึงเรื่องมารยาทในการสนทนานั้น ความจริงต้องเขียนเป็นเล่ม แต่วันนี้จะเล่าเฉพาะประสบการณ์จริงที่พบมาเล่าสู่กันฟังเท่านั้น
อีกประเภทหนึ่ง พวกนี้ชอบใช้เสียงดัง คล้ายกับเสียงดังข่มขู่คู่สนทนา เรื่องนี้เป็นปัญหา สำหรับผมมาก เพราะตอนเป็นเด็กนั้น พ่อผมเป็นคนดุมาก เสียงดังมากเวลาโมโห เลยทำให้เป็นผมมีปมด้อยคือไม่ชอบมากๆเวลาใครขึ้นเสียงพูดคุย ผมมักจะเดินหนี ซึ่งมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด แต่ผมจะพยายามต่อไป....
ในพระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องลิ้นไว้น่าสนใจ "ถ้าเราเอาบังเหียนใส่ปากม้า เพื่อให้พวกมันเชื่อฟัง เราก็สามารถบังคับมันได้ทั้งตัว หรือดูเรือสิ แม้ว่ามันจะใหญ่และถูกพัดให้แล่นไปด้วยลมแรง เรือเหล่านั้นก็ยังถูกบังคับด้วยหางเสือเล็กๆ ไปในทิศทางที่นายท้ายต้องการจะให้ไป ลิ้นก็เช่นเดียว กัน เป็นอวัยวะเล็กๆ แต่คุยอวดในเรื่องใหญ่โต" (ยากอบ 3:3-5)

เท่าที่พบมาหลายๆท่านมักจะ...อยากฟังในสิ่งที่ตนอยากพูดมากกว่า !!


ขอบคุณบทความ ลิ้นอยากฟัง..หูอยากพูด โดย : ปีเตอร์ ปัญญาชน (นิตยสาร โลกวันนี้ 10 สิงหาคม

77b2adf6-8f68-42dc-a180-6a774951795a

Read More

วันศุกร์ประเสริฐ

วันศุกร์ประเสริฐ
คือวันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์
บนไม้กางเขน

หลังจากที่พระเยซูคริสต์ประสูติ พระองค์ก็เจริญวัยขึ้นในครอบครัวของโยเซฟ ซึ่งเป็นช่างไม้ในเมืองนาซาเร็ธ (ลูกา 2:52)
จนกระทั่งถึงวัย 30 พระชันษา พระองค์ได้เสด็จออกสั่งสอนตามหมู่บ้าน ในชนบท ตามเขตแดนต่างๆ ของประเทศอิสราเอล ทรงสั่งสอนถึงแผ่นดินของพระเจ้า พระองค์ตรัสว่า
"เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้ นอกจากมาทางเรา" (ยอห์น 14:6)
พระองค์รักษาคนป่วยให้หาย คนตายให้ฟื้น และทรงขับผีออกโดยฤทธิ์ของพระเจ้า
พระองค์ทรงสถาปนาอาณาจักรของพระองค์ บนพื้นฐานของความรัก พระองค์ได้สรุปหลักการดำเนินชีวิตที่สำคัญที่สุดว่า
"จงรักพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง" (มาระโก 12:30-31)
มีผู้คนมากมายเลื่อมใสพระเยซู ทำให้ผู้นำศาสนาไม่พอใจ จึงได้ยุยงให้ประชาชนอีกส่วนหนึ่งต่อต้านพระองค์ และได้ติดสินบนยูดาสให้ชี้ตัวพระเยซู
ช่วงอาทิตย์สุดท้าย พระเยซูได้เสด็จประทับที่กรุงเยรูซาเล็ม จนถึงวันพฤหัสบดีและได้ร่วมโต๊ะเสวยกับเหล่าสาวกเป็นครั้งสุดท้าย ที่เรียกว่า "LAST SUPPER" (มัทธิว 26:26-29) หลังจากนั้น พระองค์จึงพาสาวกของพระองค์ไปอธิษฐานที่สวนเกทเสมนี พระองค์ทรงอธิษฐานต่อพระเจ้าถึง 3 ครั้ง (มัทธิว 26:36-46) จากนั้นยูดาสสาวกของพระองค์ และคนเป็นอันมากมาจับพระองค์ไป พระองค์ก็เสด็จไปโดยมิได้ขัดขืน และทรงห้ามสาวกไม่ให้ต่อสู้
เช้าวันศุกร์ (ศุกร์ประเสริฐ) บรรดามหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ ได้ปรึกษาหารือกัน เพื่อจะประหารพระเยซู จึงจับพระองค์ไปให้ปิลาตไต่สวน แต่ปิลาตเห็นว่าพระเยซูไม่มีความผิด จึงคิดจะปล่อยพระองค์ไป แต่บรรดาประชาชน ได้ตะโกนให้ปล่อยบารนาบัสนักโทษประหาร ปิลาตไม่อาจขัดใจประชาชนได้ จึงสั่งให้นำน้ำมาล้างมือต่อหน้าฝูงชน ประกาศไม่รับผิดชอบต่อคดีของผู้บริสุทธิ์นี้ ประชาชนทั้งหลายต่างตะโกนว่า "ให้เลือดของเขาตกอยู่บนเราและลูกหลานของเรา" ปิลาตจึงปล่อยบารนาบัสและมอบพระเยซูให้เขานำไปตรึง
ทหารโบยตีพระเยซู เปลื้องฉลองพระองค์ออก เอาเสื้อสีแดงเข้มมาสวมให้ เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมและให้พระองค์ถือไม้อ้อไว้ในพระหัตถ์เบื้องขวา แล้วคุกเข่าเยาะเย้ยว่า "กษัตริย์ชาติยูดาห์จงทรงพระเจริญ" แล้วถ่มน้ำลายรดพระองค์ เอาไม้อ้อตีพระเศียร และให้พระองค์แบกกางเขน พาไปที่ภูเขากลโกธา (กระโหลกศีรษะ) และใช้ตะปูตอกตรึงพระองค์ไว้บนไม้กางเขน (มัทธิว 27:32-34) โดยมีโจร 2 คน ถูกตรึงไว้ที่ข้างซ้ายและข้างขวา เกิดมืดมัวทั่วแผ่นดินตั้งแต่เวลาเที่ยงจนถึงบ่าย 3 โมง พระเยซูตรัสเป็นครั้งสุดท้ายว่า "สำเร็จแล้ว" และทรงสิ้นพระชนม์ พอพลบค่ำมีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อโยเซฟมาขอพระ ศพพระเยซูไปฝังไว้ที่อุโมงค์ใหม่ เอาผ้าป่านที่สะอาดพันพระศพไว้ และเอาหินก้อนใหญ่ปิดปากอุโมงค์ไว้
พระเยซูผู้บริสุทธิ์ต้องรับโทษที่พระองค์ไม่ได้กระทำ เพื่อคนบาปอย่างเรา เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่พระองค์ได้สละชีวิตเพื่อเรา ในขณะที่เราเป็นคนบาป
ดังนั้นคริสเตียนจึงถือว่า การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเป็นสิ่งประเสริฐ เมื่อถึงวันนี้ของทุกปี คริสตจักรทั่วโลกจึงได้รวมตัวกันในแต่ละแห่ง ร่วมนมัสการระลึกถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงวายพระชนม์เพื่อเราบนไม้กางเขน จนถึงทุกวันนี้

31a4f724-c06a-4bf4-a87e-ceaebea13a46

Read More

สงครามฝ่ายวิญญาณ

พระคัมภีร์ได้กล่าวเรื่องนี้ว่าอย่างไร ?
คำตอบ: ในเบื้องต้นนั้นมีความผิดพลาดอยู่สองประการเมื่อพูดถึงสงครามฝ่ายวิญญาณ นั่นคือ การเน้นเรื่องนี้มากเกินไปหรือน้อยเกินไป บางคนโทษว่าความบาปทุกชนิด, การขัดแย้งทุกประเภท และปัญหาทุกปัญหามาจากมารซาตาน และจำเป็นที่จะต้องถูกขับออกไป บางคนไม่สนใจเรื่องฝ่ายวิญญาณและความจริงที่ว่าพระคัมภีร์สอนเราว่าสงครามของเราเป็นสงครามฝ่ายวิญญาณเลย กุญแจสำคัญที่สามารถช่วยให้เราประสบผลสำเร็จทางด้านสงครามฝ่ายวิญญาณก็คือการหาความสมดุลจากพระคัมภีร์ให้เจอ ในบางครั้งพระเยซูทรงขับผีมารวิญญาณชั่วออกจากผู้คน แต่ในบางครั้งพระองค์ก็ทรงรักษาโรคโดยไม่ได้เอ่ยถึงผีมารวิญญาณชั่วเลย อัครทูตเปาโลสั่งให้คริสเตียนต่อสู้กับความบาปที่อยู่ในตัวพวกเขา (โรม 6) และต่อสู้กับสิ่งที่ชั่วร้าย (เอเฟซัส 6:10-18)
หนังสือเอเฟซัส 6:11-12 กล่าวว่า “จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้ เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ”
ข้อพระคัมภีร์ตอนนี้สอนความจริงบางอย่างที่สำคัญ นั่นคือ 1. เราเข้มแข็งได้ภายใต้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเท่านั้น 2. สิ่งที่ปกป้องเราไว้คือยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า 3. สงครามของเราเป็นสงครามกับพลังแห่งความชั่วร้ายฝ่ายวิญญาณในโลกนี้
1. ตัวอย่างที่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้มาจากอัครเทวทูตอธิบดีมีคาเอลในหนังสือยูดาห์ข้อ 9 อัครเทวทูตอธิบดีมีคาเอล, ซึ่งน่าจะเป็นทูตสวรรค์ที่มีฤทธานุภาพมากที่สุดในหมู่ทูตสวรรค์ด้วยกัน, ยังไม่บังอาจห้ามซาตานด้วยฤทธิ์เดชของท่านเอง แต่กล่าวว่า “ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามเจ้าเถิด!” หนังสือวิวรณ์ 12:7-8 ได้บันทึกเกี่ยวกับยุคสุดท้ายว่า อัครเทวทูตอธิบดีมีคาเอลจะมีชัยเหนือมารซาตาน แต่เมื่อมาถึงตอนที่ขัดแย้งกับมารซาตาน ท่านกล่าวห้ามมันในพระนามและสิทธิอำนาจของพระเจ้า ไม่ใช่ของท่านเอง เรา, ในฐานะผู้เชื่อ, มีสิทธิอำนาจเหนือมารซาตานและสมุนของมันก็โดยทางความสัมพันธ์ของเรากับพระเยซูคริสต์เท่านั้น โดยพระนามของพระองค์เท่านั้นที่คำกล่าวห้ามของเรามีสิทธิอำนาจ

(อ่านต่อในฉบับถัดไป

69e357f1-ccc4-433a-80df-d8e9a816ccf5

Read More

สงครามฝ่ายวิญญาณ (ฉบับที่ 2)

พระคัมภีร์พูดเกี่ยวกับสงครามฝ่ายวิญญาณ
ว่าอย่างไร? (ต่อ)

2. หนังสือเอเฟซัส 6:13-18 ให้รายละเอียดเกี่ยวกับยุทธภัณฑ์ฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าทรงมอบให้กับเรา เราจะต้องยืนหยัดอย่างมั่นคงด้วย ก. เข็มขัดแห่งความจริง ข. ทับทรวงแห่งความชอบธรรม ค. ข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ง. โล่แห่งความเชื่อ จ. หมวกเหล็กแห่งความรอด ฉ. พระแสงแห่งพระวิญญาณ ช. การอธิษฐานวิงวอนโดยพระวิญญาณ ยุทธภัณฑ์ฝ่ายวิญญาณเหล่านี้ช่วยเราในการทำสงครามฝ่ายวิญญาณได้อย่างไร? เราจะต้องพูดความจริงโต้การโกหกของมารซาตาน เราจะต้องสงบอยู่ในความจริงที่ว่าเราเป็นคนชอบธรรมโดยการไถ่บาปของพระคริสต์เพื่อเรา
เราจะต้องประกาศข่าวประเสริฐไม่ว่าเราจะได้รับการต่อต้านมากแค่ไหน เราจะต้องไม่โอนเอียงไปมาในความเชื่อ ไม่ว่าเราจะถูกโจมตีมากแค่ไหน การต่อสู้จนถึงที่สุดของเราคือความมั่นใจในความรอดของเรา และความจริงที่ว่าพลังฝ่ายวิญญาณไม่สามารถแย่งมันไปจากเราได้ อาวุธที่เราใช้เพื่อตั้งรับคือพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่ความเห็นหรือความรู้สึกของเราเอง เราจะต้องทำตามอย่างพระเยซูด้วยการตระหนักว่าชัยชนะฝ่ายวิญญาณบางประการสามารถเกิดขึ้นได้โดยการอธิษฐานเท่านั้นพระเยซูคือตัวอย่างที่ดีที่สุดสำหรับเราเกี่ยวกับสงครามฝ่ายวิญญาณ จงดูว่าพระองค์ทรงจัดการกับการโจมตีซึ่งหน้าของมารซาตานอย่างไร: “ครั้งนั้นพระวิญญาณทรงนำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อมารจะได้มาผจญ และพระองค์ทรงอดพระกระยาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน
ภายหลังพระองค์ก็ทรงอยากพระกระยาหาร ส่วนผู้ผจญมาหาพระองค์ ทูลว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นพระกระยาหาร" ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า `มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า'" แล้วมารก็นำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับที่ยอดหลังคาพระวิหาร แล้วทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงโจนลงไปเถิด เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า `พระเจ้าจะรับสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์รักษาท่าน และเหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ มิให้เท้าของท่านกระทบหิน'" พระเยซูจึงตรัสตอบว่า "พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า `อย่าทดลององค์พระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน'" อีกครั้งหนึ่งมารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาอันสูงยิ่งนัก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งเรืองของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร
แล้วได้ทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน" พระเยซูจึงตรัสตอบว่า "อ้ายซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า `จงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว'" แล้วมารจึงละพระองค์ไป และมีเหล่าทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์” (มัทธิว 4:1-11)

https://www.gotquestions.org

(อ่านต่อในฉบับถัดไป)

37eba3b4-fb7c-4baf-97a5-483fd531a4cd

Read More

สงครามฝ่ายวิญญาณ (ฉบับที่3)

คัมภีร์พูดเกี่ยวกับสงครามฝ่ายวิญญาณ
ว่าอย่างไร? (ต่อ)

วิธีที่ดีที่สุดที่จะเอาชนะมารซาตานคือวิธีที่พระเยซูทรงแสดงให้เราดูเป็นตัวอย่าง นั่นคือการยกข้อพระคัมภีร์ขึ้นมาอ้าง เพราะมารซาตานไม่สามารถรับดาบฝ่ายวิญญาณ, พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่, ได้
ตัวอย่างที่ดีที่ดีที่สุดเกี่ยวกับว่าเราไม่ควรทำสงครามฝ่ายวิญญาณอย่างไรมาจากบุตรชายเจ็ดคนของเสวา “แต่พวกยิวบางคน ที่เที่ยวไปเป็นหมอผีพยายามใช้พระนามของพระเยซูเจ้า ขับผีร้ายว่า "เราสั่งเจ้าโดยพระเยซูซึ่งเปาโลได้ประกาศนั้น" พวกยิวคนหนึ่งชื่อเสวาเป็นปุโรหิตใหญ่มีบุตรชายเจ็ดคนซึ่งได้ทำอย่างนั้น ฝ่ายผีร้ายจึงพูดกับเขาว่า "พระเยซู ข้าก็คุ้นเคย และเปาโล ข้าก็รู้จัก แต่พวกเจ้าเป็นผู้ใดเล่า" คนที่มีผีสิงนั้นจึงกระโดดใส่คนเหล่านั้นและต่อสู้จนชนะเขาได้ เขาต้องหนีออกไปจากเรือนตัวเปล่าและมีบาดเจ็บ” (กิจการ 19:13-16) เรื่องนี้ปัญหาอยู่ที่ไหน? ปัญหาคือบุตรชายทั้งเจ็ดคนของเสวาใช้พระนามของพระเยซู เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับพระองค์เลย ดังนั้นคำสั่งของพวกเขาจึงไม่มีฤทธิ์อำนาจหรือสิทธิอำนาจบุตรชายทั้งเจ็ดคนของเสวาพึ่งกรรมวิธี แต่ไม่ได้พึ่งพระเยซู และไม่ได้ใช้พระวจนะของพระเจ้าในการทำสงครามฝ่ายวิญญาณของพวกเขา ผลก็คือพวกเขาได้รับความอับอายและบาดเจ็บ ขอให้เราเรียนรู้จากตัวอย่างที่ไม่ดีนี้ และทำสงครามฝ่ายวิญญาณตามที่พระคัมภีร์สอนไว้
สรุปว่ากุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการทำสงครามฝ่ายวิญญาณมีอะไรบ้าง? ประการแรก คือ เราพึ่งฤทธิอำนาจของพระเจ้า ไม่ใช่ความสามารถของเรา ประการที่สองเราขับในพระนามของพระเยซู ไม่ใช่โดยตัวเราเอง ประการที่สามเราปกป้องตัวเองด้วยยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า ประการที่สี่ เราทำสงครามด้วยดาบแห่งพระวิญญาณ – พระวจนะของพระเจ้า ท้ายที่สุด เราต้องจำไว้ว่าเมื่อเราทำสงครามฝ่ายวิญญาณกับมารซาตานและสมุนของมันนั้นไม่ใช่ว่าความบาปหรือปัญหาทุกชนิดคือผีมารซาตานที่จำเป็นจะต้องถูกขับออกไป “แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ทรงได้รักเราทั้งหลาย” (โรม 8:37)
https://www.gotquestions.org


อ่านต่อในฉบับถัดไป

fff942d3-2cdb-4b8e-aae1-dc05779f7ed2

Read More

สัปดาห์สุดท้ายของพระเยซู

เริ่มต้นขึ้นด้วยการที่พระเยซูคริสต์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต ซึ่งการที่พระเยซูเข้ามาที่กรุงเยรูซาเล็มนี้พระองค์รู้ถึงเหตุการณ์ล่วงหน้าที่จะเกิดขึ้น แต่พระองค์ก็ยังคงเสด็จเข้ามาอย่างไม่ลังเลเพื่อทำให้แผนการทรงไถ่ที่ต้องเกิดขึ้นนั้นสำเร็จเพื่อเรา
“โฮซันนา ขอให้ท่านผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ” (มัทธิว 21:9, มาระโก 11:9-11)
โฮซันนามีความหมายถึง ‘สรรเสริญถึงการช่วยกู้ หรือ การช่วยให้รอด’ ซึ่งเป็นความจริงที่ว่าพระเยซูคริสต์นำความรอดมาสู่พวกเขา เพียงแต่วิธี ‘การช่วยกู้’ ของพระองค์นั้นไม่ใช่วิธีการแบบที่มนุษย์ต้องการ ดังนั้น เพียงไม่กี่วันเสียงของประชาชนที่โห่ร้องต้อนรับพระเยซูในคราวแรกกลับกลายเป็นเสียงขับไล่ว่า ‘ตรึงเขาเสีย’ ในวันที่พระเยซูถูกพิพากษา
ตลอดทั้งสัปดาห์พระเยซูยังคงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ซึ่งสร้างความไม่พอใจต่อกลุ่มผู้นำศาสนาเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะทำให้ความน่าศรัทธาของผู้นำศาสนาลดลงแล้ว พระองค์ยังขัดผลประโยชน์ในทางอื่น ๆ ด้วย แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหาช่องทางเอาผิดพระองค์ได้
ดังนั้น จึงเป็นเหตุให้เกิดการคิดวิธีเพื่อ ‘ กำจัดพระเยซู’จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ไม่สามารถคลอนและทำให้พระเยซูล้มเลิกความตั้งใจในการดำเนินแผนการทรงไถ่ต่อไปได้
หนึ่งวันก่อนที่พระเยซูจะถูกจับไปพิพากษาพระองค์ได้ทำ พิธีมหาสนิท ซึ่งเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูกับเหล่าสาวก ซึ่งมหาสนิทนี้เองในปัจจุบันได้กลายเป็นพิธีที่ทำให้คริสเตียนได้ระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูผ่านขนมปัง (ร่างกายของพระเยซู) และ น้ำองุ่น (เลือดของพระเยซู) (มาระโก 14:12-26,ลูกา 22:7-38)
แม้เราจะบอกว่าไม่มีสิ่งใดที่สั่นคลอนความตั้งใจในแผนการทรงไถ่ของพระเยซูได้ แต่ในพระคัมภีร์ได้มีการบันทึกว่าพระองค์มีความทุกข์ใจและได้ทรงอธิษฐานส่วนตัวที่สวนเกทเสมนีจนเหงื่อไหลออกมาเป็นเลือด (ลูกา22:39-46, ยอห์น 18:1) แต่แล้วหลังจากที่พระเยซูอธิษฐานเสร็จ พระองค์ก็ลุกขึ้นเพื่อรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
พระเยซูเป็นแบบอย่างที่ทำให้เห็นว่า การอธิษฐานเป็นวิธีที่ทำให้ผู้เชื่อได้รับการเสริมกำลังและยังคงยืนหยัดในการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้
ในช่วงเวลาที่พระเยซูถูกจับเพื่อนำสู่การพิพากษาและตรึงบนกางเขน มีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งการทรยศหักหลังโดยยูดาส อิสคาริโอท (หนึ่งในสาวกของพระเยซู) การใส่ร้ายโดยผู้นำศาสนา ปีลาตไม่เห็นความผิดพระเยซู การถูกเยาะเย้ยและโห่ไล่ รวมทั้ง ร่างกายที่ถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณด้วยฝีมือของทหารโรมัน
ความเจ็บปวดทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้มีเพียงเหตุผลเดียว คือ เพื่อช่วยมนุษย์ให้ได้รับ ‘ความรอด’พระองค์จึงได้ยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนและถูกฝังอยู่ในอุโมงค์
แต่นี่ไม่ใช่จุดจบของเรื่องทั้งหมดนี้ เพราะ การตายของพระเยซูไม่ใช่ ‘ความสิ้นหวัง’ แต่เป็นของขวัญแห่งพระคุณที่พระเจ้าให้กับเราทุกคน หลังจากที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ ในวันที่ 3 พระองค์ได้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ขึ้น และได้ทรงปรากฏตัวต่อเหล่าสาวก พร้อมทั้ง มีพระมหาบัญชา คือ ให้บรรดาผู้เชื่อประกาศข่าวประเสริฐ นำความรอดไปถึงชนทุกชาติ (มัทธิว 28:18-19)
เราทุกคนต่างรู้ว่าพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อยกโทษบาปให้กับมนุษย์ แต่เรามักจะไม่ค่อยพูดถึงเหตุการณ์ที่สำคัญไม่ต่างกัน คือ การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์
การฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์นี้เป็นเรื่องจริงที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ มีหลักฐานรองรับเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็นพยานวัตถุ คือ อุโมงค์ว่างเปล่า ผ้าพันพระศพที่ถูกวางพับไว้อย่างเรียบร้อย หรือ พยานบุคคลคือสาวกที่ใกล้ชิดและสาวกคนอื่น ๆ กว่า 500 คน (1 โครินธ์ 15:3-7)

ดังนั้น การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูจึงเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเพื่อประกาศว่าพระเยซูมีชัยชนะเหนือความบาป ความตาย ทรงเป็นพระเจ้าที่ช่วยกู้ชีวิตของเรา เราได้รับการช่วยกู้แล้วและมีชัยชนะร่วมกับพระองค์

ให้เราร้องว่า ‘โฮซันนา แด่พระเจ้าสูงสุด’
เพราะเราได้รับการไถ่ให้รอดและมีชีวิตใหม่โดยพระคุณของพระเยซูแล้ว

8792ba81-fca3-41ca-a29d-eb43b4696f29

Read More

ห่วงใย

" ที่นั่นมีชายคนหนึ่งป่วยมา 38 ปีแล้ว เมื่อพระเยซูเห็นเขานอนอยู่ และทรงทราบว่าเขาตกอยู่ในสภาพนี้มานานก็ตรัสกับเขาว่า..ท่านต้องการจะหายโรคหรือไม่ "
ไม่ว่าเป็นใครที่ตกอยู่ในสภาพนี้ คือ ป่วยพิการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทรมานทั้งกายและใจ ถ้าต้องทนนานถึงขนาด 38 ปีเต็มนี้ เราไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะต้องทุกข์มากขนาดไหน ปกติเมื่อเราเริ่มป่วยจะมีเพื่อนและพี่น้องมาเยี่ยมเยียนถามสุขทุกข์กันมากหน้าหลายตา แต่เมื่อเวลาผ่านไปคนที่มาให้กำลังใจจะมาน้อยลงไปเรื่อย ๆ จากมากันถี่ ๆจะทิ้งช่วงด้วยเหตุผลต่างกัน

เราไม่ทราบว่าญาติหรือเพื่อนที่พาเขามาที่นี่เป็นเวลานานเท่าไหร่แล้วที่ไม่มีใครมาเยี่ยมให้กำลังใจ แต่มีวันหนึ่งเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น มีผู้หนึ่งที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่เพื่อนที่รู้จักกันเดินเข้ามาถามคนง่อยคนนั้นว่า " ท่านต้องการจะหายโรคหรือไม่ " ถ้าเราเป็นคนง่อยผู้นั้นจะต้องรู้สึกดีใจที่มีคนสนใจความเป็นไปของตน เพราะต่างคนต่างก็มีปัญหาส่วนตัวมากมายอยู่แล้ว

มีคนไม่น้อยที่ส่วนลึกของหัวใจกำลังร้องหาใครสักคนหนึ่งให้หันมาสนใจและรับรู้ความเจ็บปวดและความทรมานใจที่เขามีอยู่ เขากำลังส่งเสียงว่าทำไมโอกาสที่เขาควรจะได้กลับถูกผู้อื่นแย่งไปหมด? ไม่มีใครฟังเสียงร้องของเขาเลย..

แต่ พระเยซูคริสต์ " เห็น " และ " ทราบ " เรื่องของชายผู้นี้ ทรงเห็นความต้องการ ความรู้สึกของเขา และพระเยซูทรงรักษาเขาให้หาย
...ในความทุกข์ที่ท่านทนมานานจนรู้สึกว่าไม่มีผู้สนใจ แต่!! พระเยซูกำลังอยู่ตรงหน้าท่าน และพระองค์กำลังตรัสกับท่านว่า เรา " เห็น " เรา " ทราบ "
จงร้องทูลพระองค์ในยามยาก
พระองค์กำลังฟังเราอยู่...

จากเรื่องราวด้านบนสะท้อนความจริง และเตือนสติเราได้ว่า อย่าสาละวนอยู่กับปัญหาของตัวเอง เพราะยังมีคนอื่นอีกมากมายที่อาจมีปัญหาต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่าเรา ลองเดินไปหาเขา ไปเยี่ยมเยียนถามสุขทุกข์ด้วยใจห่วงใย เชื่อแน่ว่าเขาจะตื่นเต้นดีใจที่มีคนสนใจเขา เราอาจไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้ทั้งหมด แต่เราอาจจะเป็นคำตอบที่เขาคอยมานาน..ว่าจะมีใครสักคนมั้ยที่จะสนใจในตัวเขาบ้าง?
ในยามทุกข์พระเยซูคริสต์เสด็จมาเยี่ยมเรา.....

ในยามที่เรามีความสุข..เราควรจะไปเยี่ยมผู้อื่น.....



พระเจ้าอวยพร

อ้างอิงบทความจากหนังสือธารพระพร
โดยศจ.ดร.วีรชัย โกแวร์

ab0339cc-5bc4-4071-bd13-85d20d3ac68d

Read More

เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสต์

ผู้ที่เคยชมภาพยนตร์ฝรั่งอาจจะเคยเห็นการจัดงาน เฉลิมฉลองเทศกาลคริสตสมภพ คงเคยเห็นภาพของเทียนไข ที่เรียกว่าเทียนคริสต์มาส
สีของผ้าปูโต๊ะ ผ้าม่าน หรือ อาภรณ์ของบาทหลวง หรือ ศาสนาจารย์ ท่านอาจจะมีความสงสัย หรือบางคนอาจจะไม่สงสัยเลย หรือแม้แต่พี่น้องคริสตชนไทย บางทีก็อาจจะไม่เข้าใจก็มาก จึงขออธิบายดังนี้

คำเดิมเป็นภาษาลาติน “Adventus” มีความหมายว่าเสด็จมา ภาษาอังกฤษว่า “Advent” เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสต์เจ้า ฟังแล้วเข้าใจได้ทันทีว่าเป็น เทศกาลก่อนคริสตสมภพ เป็นช่วงเวลาที่คริสตชน เตรียมการเฉลิมฉลองการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ ผู้มาบังเกิดเป็นมนุษย์

เทศกาลนี้เป็นช่วง 4 สัปดาห์ คริสตจักรของโปรเตสแตนต์ ที่เคร่งครัดพิธีกรรม เช่น
คณะลูเธอแรน คณะแองกลิกัน คณะเมโธดิส คณะเพรสไบทีเรียน(บางกลุ่ม)ฯ จะใช้อาภรณ์สีม่วง ของศาสนาจารย์ หรือบิชอป และสีของผ้าปูโต๊ะ เทียนไข คริสตจักรของสภาคริสตจักรในประเทศไทย ที่เห็นปฏิบัติแนวนี้คือ คริสตจักรภาคที่ 1 เชียงใหม่ คริสตจักรภาคที่ 2 เชียงรายและใน
กรุงเทพมหานคร คือคริสตจักรภาคที่ 6 ( เช่นคริสตจักรวัฒนา คริสตจักรที่สองสามย่าน ) สีม่วงเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์นั่นคือองค์พระเยซูคริสต์ องค์สันติราชา จึงใช้สีม่วงเป็นสัญลักษณ์ของการสำนึกบาป การเฝ้ารอคอยการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นสีม่วงจึงใช้เป็นสีรับเสด็จพระกุมารน้อยเยซู

การเตรียมรับเสด็จพระเยซูคริสต์ ปี แล้วปีเล่า มิใช่เป็นเพียงการรับเสด็จเพียงระลึกถึงการเสด็จเข้ามาในโลกครั้งแรกนี้เมื่อกว่า 2000 ปีก่อน แต่ยังหมายถึงการฝึกซ้อมการรับเสด็จของพระเยซูคริสต์ ที่เสด็จมาพบปะกับพวกเรา ผ่านพิธีมหาสนิท ผ่านการเทศนา ผ่านพระวจนะ ผ่านประสบการณ์ส่วนตัว เป็นต้น ซึ่งเป็นการเตรียมตัวเราให้พร้อมที่จะรับพระเยซูคริสต์เสด็จมาเป็นครั้งที่ 2

ดังนั้นปีนี้ (ค.ศ.2007) วันอาทิตย์ ที่ 2 ธันวาคม 2007 เราเริ่มสัปดาห์แรกของการเตรียมรับเสด็จของพระเยซูคริสต์ และวันอาทิตย์ ที่ 23 ธันวาคม 2007 เป็นสัปดาห์ที่ 4 เทศกาลรับเสด็จพระเยซูคริสต์ และ วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันคริสตสมภพ หรือเทศกาลคริสต์มาส จึงเป็นเวลาที่เชิญชวนให้คริสตชนไตร่ตรองและเลียนแบบพระบิดา ที่ทรงประทานของขวัญที่ประเสริฐที่สุดให้มวลมนุษย์คือพระเยซูพระบุตรสุดที่รัก ดังนั้นช่วงคริสต์มาส คริสตชน จึงมอบของขวัญเล็กๆน้อยๆให้แก่กันในวันคริสต์มาสด้วยความเชื่อ เพื่อสำแดงออกถึงความรักแก่บุคคลรอบข้าง ทำตัวเองให้เป็นของขวัญแก่คนในครอบครัว เช่นผู้อาวุโส หรือไปเยี่ยมเยียนคนเจ็บป่วย และคนที่ถูกทอดทิ้ง ดังเช่นพระเยซูเสด็จเข้ามาในโลก เพื่อมอบความรักด้วยชีวิตของพระองค์เอง

(อ่านต่อในฉบับถัดไป)

7b48886f-66f1-4730-be65-1fbb157f0b77

Read More

เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสต์ (ฉบับที่ 3)

อาทิตย์ที่ 3 จุดเทียนสีเขียว “เป็นเทียนผู้เลี้ยงแกะ” ( จุดเทียน 1-3 )

เพื่อรำลึกถึงบรรดาผู้เลี้ยงแกะ ที่เฝ้าฝูงแกะในเวลากลางคืน ซึ่งทูตของพระเจ้าได้นำข่าวดีมาถึงพวกเขา ต่อจากนั้นคนเลี้ยงแกะได้ตามไปดู และเมื่อพบพระกุมาร เขาได้เล่าต่อไป
คนเลี้ยงแกะเหล่านี้เป็นกลุ่มคนที่ได้ หนุนใจโยเซฟและมาเรีย อย่างมาก ทั้งสองรู้ดีว่า
พระเยซูได้ประสูติโดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และการพากันมาเข้าเฝ้าของคนเลี้ยงแกะ ที่เล่าเรื่องทูตสวรรค์กลางทุ่งนั้น หนุนใจทั้งสองคนอย่างยิ่ง การเชื่อฟังของเรามักหนุนใจครู ผู้สอน คนใกล้ชิด หรือผู้ที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอ “ฝ่ายนางมารีย์ ก็เก็บบรรดาสิ่งเหล่านั้นไว้ในใจและเชื่อว่านางเองก็รำพึงอยู่”

คนเลี้ยงแกะเหล่านั้นตื่นเต้น กับการพบพระกุมาร พวกเขาไม่ได้เก็บความตื่นเหล่านั้นไว้ แต่ออกไปเล่าเรื่องที่พบเห็นให้คนทั้งปวงที่เขารู้จักทราบ กันทั่วบ้านทั่วเมือง คนเลี้ยงแกะเป็นคนกลุ่มแรกที่พบพระเยซู เขาเล่าด้วยความตื่นเต้น เล่าไปด้วยยกย่องสรรเสริญพระเจ้าไปด้วย เมื่อเราพบพระเยซู เราตื่นเต้น และบอกเรื่องราวของพระองค์แก่คนอื่นหรือเปล่า เราตื่นเต้นหรือเปล่า หรือเราเฉย ๆ อาการที่แสดงออกของเราบางที อาจเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า เราได้พบพระองค์หรือเปล่า เพราะคนที่พบพระเยซูย่อมอยากเล่าเรื่องพระองค์ให้คนอื่นฟัง ไม่ใช่เล่าแล้วทำหน้านิ้วคิ้วขมวด แต่เล่าด้วยความปิติยินดี อย่างคนเลี้ยงแกะครับ

อิสยาห์ บทที่ 35.1-6,10

ถิ่นทุรกันดารและที่แห้งแล้งจะยินดี ทะเลทรายจะเปรมปรีดิ์และผลิดอก อย่างต้นดอกฝรั่น
2 มันจะออกดอกอุดม และเปรมปรีดิ์ด้วยความชื่นบานและการร้องเพลง ศักดิ์ศรีของเลบานอนก็จะประทานให้มัน ทั้งความโอ่อ่าตระการของคารเมลและชาโรน ที่เหล่านี้จะเห็นพระสิริของพระเจ้า ความโอ่อ่าตระการของพระเจ้าของพวกเรา 3 จงหนุนกำลังของมือที่อ่อน และกระทำหัวเข่าที่อ่อนให้มั่นคง 4จงกล่าวกับคนที่มีใจคร้ามกลัวว่า “จงแข็งแรงเถอะ อย่ากลัว ดูเถิด พระเจ้าของท่านทั้งหลาย จะเสด็จมาด้วยการแก้แค้น พระองค์จะเสด็จมาและช่วยท่านให้รอด ด้วยการตอบแทนของพระเจ้า” 5แล้วนัยน์ตาของคนตาบอดจะเปิดออก แล้วหูของคนหูหนวกจะเบิก 6แล้วคนง่อยจะกระโดดได้อย่างกวาง และลิ้นของคนใบ้จะร้องเพลง ด้วยความชื่นบาน เพราะน้ำจะพลุ่งขึ้นมาในป่าดอน และลำธารจะพลุ่งขึ้นในทะเลทราย

( อ่าน สดุดี 146,ยากอบ 5.7-10,มัทธิว 11.2-11 )

(อ่านต่อในฉบับถัดไป)

c0c5dfd6-01e1-4ba4-9e6e-f29473e15152

Read More

เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสต์ (ฉบับที่ 4)

อาทิตย์ที่ 4 จุดเทียนสีแดง “เทียนแห่งเบธเลเฮม” (จุดเทียน 1-4 )
เพื่อรำลึกถึงคำกล่าวของทูตสวรรค์ว่า “ในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลาย คือพระคริสต์เจ้ามาบังเกิดที่เมืองดาวิด ท่านจะได้พบพระ
กุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนในรางหญ้าในพระธรรมลูกา 2.8-20 ทูตสวรรค์มาหามารีย์และบอกเธอว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงมีความสุขเพราะเธอ เธอจะเป็นพระมารดาของพระเยซู! มารีย์กับโยเซฟเดินทางไปเบธเลเฮม จวนได้เวลาที่พระเยซูประสูติ มีคนมากมายมาที่เบธเลเฮมจนมารีย์กับ
โยเซฟไม่สามารถหาห้องพักได้ เจ้าของโรงแรมให้พวกท่านพักในคอกสัตว์ ไม่นานพระเยซูก็ประสูติ ดาวสุกใสดวงใหม่ปรากฏเพื่อบอกทุกคนว่าแสงสว่างของโลกเข้ามายังแผ่นดินโลกแล้วทูตสวรรค์บอกคนเลี้ยงแกะบางคนว่าพระเยซูประสูติ พวกเขารีบไปเฝ้าพระกุมารเยซูที่บรรทมในรางหญ้าพระเยซูเสด็จมาแผ่นดินโลกเพราะพระองค์ทรงรักฉัน ฉันจะติดตามแสงสว่างของพระองค์ในคริสต์มาสนี้และตลอดปี!
( อ่าน สดุดี 24,อิสยาห์ 7.10-15,โรม 1.1-7 )
เทศกาลพระคริสตสมภพ หรือคริสต์มาส
คือวันที่ 25 ธันวาคม ให้จุดเทียนสีขาว พร้อมกับเทียน เล่มที่ 1-4 (และเปลี่ยนผ้าปูโต๊ะ ผ้าม่าน เป็นสีขาว ) นับจากวันคริสตสมภพจนถึงวันที่ 5 มกราคม เป็นเวลา 12 วัน
อิสยาห์9.2,6-7
2 ชนชาติที่ดำเนินในความมืด จะได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดิน แห่งเงามัจจุราช สว่างจะได้ส่องมาบนเขา... 6ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เราและการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน และท่านจะเรียกนามของท่านว่า “ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช” 7เพื่อการปกครองของท่านจะเพิ่มพูนยิ่งขึ้น และสันติภาพจะไม่มีที่สิ้นสุด เหนือพระที่นั่งของดาวิด และเหนือราชอาณาจักรของพระองค์ ที่จะสถาปนาไว้ และเชิดชูไว้ ด้วยความยุติธรรมและด้วยความชอบธรรม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนนิรันดร์กาล
ความกระตือรือร้นของพระเจ้าจอมโยธาจะกระทำการนี้
วันพระคริสต์สำแดงองค์ เป็นวันที่นักปราชญ์ถวายเครื่องบรรณาการ เทศกาลเฉลิมฉลองคริสต์มาสนี้คริสตชนระลึกถึงพระเจ้า พระบิดา ได้ประทานพระเยซูคือพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อมนุษยชาติ
อิสยาห์ 60.1-6
จงลุกขึ้น ฉายแสง เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว และพระสิริของพระเจ้าขึ้นมาเหนือเจ้า
2 เพราะว่าดูเถิด ความมืดจะคลุมแผ่นดินโลก และความมืดทึบคลุมชนชาติทั้งหลาย แต่พระเจ้าจะทรงขึ้นมาเหนือเจ้า และเขาจะเห็นพระสิริของพระองค์เหนือเจ้า 3และบรรดาประชาชาติจะมายังความสว่างของเจ้า และพระราชาทั้งหลาย ยังความสุกใสแห่งการขึ้นของเจ้า 4จงเงยตาของเจ้ามองให้รอบ และดู เขาทั้งปวงมาอยู่ด้วยกัน เขาทั้งหลายมาหาเจ้า บุตรชายทั้งหลายของเจ้าจะมาจากที่ไกล และเขาจะอุ้มบุตรหญิงของเจ้ามา 5แล้วเจ้าจะเห็นและปลาบปลื้ม ใจของเจ้าจะตื่นเต้นและเปรมปรีดิ์ เพราะความมั่งคั่งของทะเลจะหันมาหาเจ้า ทรัพย์สมบัติของบรรดาประชาชาติจะมายังเจ้า 6มวลอูฐจะมาห้อมล้อเจ้า อูฐหนุ่มจากมีเดียนและเอฟาห์ บรรดาเหล่านั้นจากเชบาจะมา เขาจะนำทองคำและกำยาน และจะบอกข่าวดีถึงกิจการอันน่าสรรเสริญของพระเจ้า
( อ่าน สดุดี 72.1-19 ,เอเฟซัส 3.1-6 )

4d14a65f-3c43-4203-aa7e-4bb187f7e7d0

Read More

เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสต์ (ฉบับที่2)

ชาวคริสต์ใช้เทียนไขเกี่ยวข้องกับคริสต์มาส ดังนี้
อาทิตย์ที่ 1 จุดเทียน สีน้ำเงิน (คาทอลิก สีม่วง ) “เทียนแห่งคำพยากรณ์”
เพื่อรำลึกถึงคำพยากรณ์ เกี่ยวกับการเสด็จมาของพระผู้ช่วยให้รอด คือพระเมสสิยาห์ ผู้พยากรณ์มิได้กำหนดวันเวลา เพียงแต่ทำนายว่าจะมีพระผู้ช่วยมาบังเกิด
อิสยาห์ 7.10-17
พระเจ้าตรัสกับอาหัสอีกว่า 11“จงขอหมายสำคัญจากพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า จากที่ลึกคือแดนคนตายหรือที่สูงคือฟ้าสวรรค์ก็ได้” 12แต่อาหัสตอบว่า “เราจะไม่ทูลขอ และเราจะไม่ทดลองพระเจ้า” 13และท่านกล่าวว่า “ข้าแต่ข้าราชสำนักของดาวิด ขอจงฟังการที่จะให้มนุษย์อ่อนใจนั้นเล็กน้อยอยู่หรือ และท่านยังให้พระเจ้าของข้าพเจ้าอ่อนพระทัยด้วย 14เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานหมายสำคัญเอง ดูเถิด หญิงสาวคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล[ แปลว่า พระเจ้าทรงสถิตกับเราทั้งหลาย ] 15ท่านจะรับประทานนมข้นและน้ำผึ้ง เมื่อท่านรู้ที่จะปฏิเสธความชั่วและเลือกความดี 16เพราะก่อนที่เด็กนั้นจะรู้ที่จะปฏิเสธความชั่ว และเลือกความดีนั้นแผ่นดินซึ่งพระราชาสององค์ เป็นที่เกลียดกลัวของฝ่าพระบาทนั้นจะร้างเปล่าไป 17พระเจ้าจะทรงนำวันนั้นมาเหนือฝ่าพระบาท เหนือชนชาติของฝ่าพระบาทและเหนือเชื้อสายแห่ง บิดาของฝ่าพระบาท คือวันอย่างที่ไม่เคยพบเห็น ตั้งแต่วันที่เอฟราอิมได้ พรากจากยูดาห์ คือพระราชาของอัสซีเรีย”

อาทิตย์ที่ 2 จุดเทียนสีเหลือง
“เทียนแห่งทูตสวรรค์” (จุด 1 และ 2 )
เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับมารีย์ ซึ่งทูตของพระเจ้ามาบอกมารีย์ว่า เธอจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายให้ตั้งชื่อ “เยซู” ในตอนแรกเธอตกใจ แต่ต่อมาก็น้อมรับด้วยความถ่อมใจ เพราะเธอสำนึกว่าเธอเป็นทาสีขององค์ พระผู้เป็นเจ้า
อิสยาห์ 11.1-10
1จะมีหน่อแตกออกมาจากตอแห่งเจสซี
จะมีกิ่งงอกออกมาจากรากทั้งหลาย ของเขา
2และพระวิญญาณของพระเจ้าจะอยู่บนท่านนั้น
คือวิญญาณแห่งปัญญาและความเข้าใจ
วิญญาณแห่งการวินิจฉัยและอานุภาพ
วิญญาณแห่งความรู้และความยำเกรงพระเจ้า
3ความพึงใจของท่านก็ในความยำเกรงพระเจ้า
ท่านจะไม่พิพากษาตามซึ่งตาท่านเห็น หรือตัดสินตามซึ่งหูท่านได้ยิน
4แต่ท่านจะพิพากษาคนจนด้วยความชอบธรรม
และตัดสินเผื่อผู้มีใจถ่อมแห่งแผ่นดินโลก[ หรือ แผ่นดิน ] ด้วยความเที่ยงธรรม
ท่านจะตีโลกด้วยตะบองแห่งปากของท่าน
และท่านจะประหารคนอธรรมด้วยลมแห่งริมฝีปากของ ท่าน
5ความชอบธรรมจะเป็นผ้าคาดเอวของท่าน
และความสัตย์สุจริตจะเป็นผ้าคาดบั้นเอวของท่าน
6สุนัขป่าจะอยู่กับลูกแกะ และเสือดาวจะนอนอยู่กับลูกแพะ
ลูกโคกับสิงห์หนุ่มจะหากินอยู่ด้วยกัน และเด็กเล็กๆจะนำมันไป
7แม่โคกับหมีจะกินด้วยกัน ลูกของมันก็จะนอนอยู่ด้วยกัน
และสิงห์จะกินฟางเหมือนวัวผู้
8และทารกกินนมจะเล่นอยู่ที่ปากรูงูเห่า
และเด็กที่หย่านมจะเอามือวางบนรังของงูทับทาง
9สัตว์เหล่านั้นจะไม่ทำให้เจ็บหรือจะทำลาย ทั่วภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา
เพราะว่าแผ่นดินโลก จะเต็มไปด้วยความรู้เรื่องของพระเจ้า
ดั่งน้ำปกคลุมทะเลอยู่นั้น
10ในวันนั้น รากแห่งเจสซี ซึ่งตั้งขึ้นเป็นเครื่องหมายแก่ชนชาติทั้งหลาย จะเป็นที่แสวงหาของบรรดาประชาชาติ และที่พำนักของท่านจะรุ่งโรจน์

(อ่านต่อในฉบับถัดไป)

d6542676-6427-47ee-a7b7-f9928e1d3829

Read More

เพราะร่างกายยังใช้อีกนาน...อย่าให้หมดลาน ดูแลหน่อยนะ!!

อย่าประมาทกับร่างกายของเรา จงใส่ใจและดูแล ถ้าอยากอยู่ให้ยาวนานขึ้นอย่างคนมีสุขภาพที่ดี หรือต้องอยู่เพราะใช้ร่างกายทำมาหากิน ดูแลครอบครัวเพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้ สุขภาพจึงสำคัญยิ่งต้องใส่ใจ!!
โดยส่วนใหญ่แล้วปัญหาหลักๆโดยทั่วไปของผู้คนที่มีปัญหาสุขภาพคือ ทำงานหนัก ไม่ได้ออกกำลังกาย ไม่ค่อยได้ดูแลตัวเอง การทำงานมากมายและห่างหายการดูแลตัวเอง การรับประทานอาหาร การใช้ชีวิตในประจำวันเร่งรีบ รวบรัด เพื่อให้ทำอะไรต่อมิอะไรได้ทัน สิ่งเหล่านี้จะรวมและเร้าให้เราเผชิญกับปัญหาสุขภาพ ตอนอายุไม่มากนักไม่ค่อยเจอปัญหาเพราะร่างกายยังต้านทานได้ แต่เมื่ออายุมากขึ้นก็จะส่งผลให้เห็นแน่นอน!!
เชื่อเถอะว่าไม่มีใครหรอกที่จะเกลียดชังตัวเองถึงขนาดไม่ยอมดูแลตัวเอง เราทุกคนรักตัวเองกันทั้งนั้น แต่บางครั้งอาจหลงลืม หรือคิดไม่ถึงว่าร่างกายเริ่มจะล้า เริ่มเตือนให้ดูแล เพราะต้องมุ่งมั่น บากบั่นกับหน้าที่และการทำมาหากิน บางครั้งก็ละทิ้งให้ร่างกายเริ่มหมดลาน...อย่าลืมไขลานร่างกายเพื่อให้ตื่นฟื้น สดชื่น กระปรี้กระเปร่า และใช้ร่างกายไปได้ยาวนานขึ้น
เอเฟซัส 5:29 บอกว่า “เพราะว่าไม่มีผู้ใดเกลียดชังเนื้อหนังของตนเอง มีแต่เลี้ยงดูและทะนุถนอม…”
การไขลานร่างกายหรือการดูแลสุขภาพ มีหลักๆ 2 อย่าง
1. สุขภาพกาย การออกกำลังกาย และ อาหารการกิน
การออกกำลังนั้นไม่ยากเลยเพียงแค่มีวินัยในตัวเอง จัดสรรการออกกำลังกายให้เหมาะกับการใช้ชีวิต การทำมาหากินของตัวเอง วันหนึ่งควรออกกำลังกายไม่น้อยกว่า 30 นาที เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญพลังงาน 200 กิโลแคลอรี ควรทำเป็นประจำทุกวัน “แค่ทำเป็นประจำ ก็ได้แล้ว!! พูดง่ายแต่ทำไม่ง่าย แต่ถ้าทำได้ ก็สบายเลย ทำได้ก็จะกลายเป็นคนร่าเริง กระฉับกระเฉง กระตือรือร้น ส่งผลดีกับสุขภาพในอนาคต
ส่วนเรื่องอาหารการกินสำคัญเป็นเรื่องต้นๆ ต่อให้ออกกำลังกายสักแค่ไหน ถ้าไม่ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน บางครั้งร่างกายก็พ่ายแพ้โรคภัยมาเยือนได้เหมือนกัน การกินอาหารอายุสั้น อย่างอาหารปรุงเสร็จใหม่ๆ ผักผลไม้สดๆ จะทำให้อายุยืน ส่วนอาหารที่มีอายุยืนคืออยู่ได้นานเป็นอาหารสำเร็จรูปผ่านกรรมวิธีการผลิต จะทำให้อายุสั้น!! แต่ คนนิยมบริโภคกันมาก เพราะสะดวก รวดเร็ว อร่อย และได้ทานไว ตรงตามความต้องการของคนในยุคปัจจุบันที่รีบร้อน ใช้ชีวิตเร่งรีบ ฉะนั้น!! ต้องเลือกกิน เพราะอาหารฟาสต์ฟูดนี่แหละ..สาเหตุหลักของสุขภาพแย่!!
2. สุขภาพจิตที่แข็งแรง
เพราะใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว สุขภาพใจหรือสุขภาพจิตจึงสำคัญไม่น้อย บางครั้งโรคภัยเล่นงาน แต่ถ้าใจเข้มแข็ง กำลังใจเต็มล้น ก็ก้าวผ่านโรคภัยไปได้เหมือนกัน ดังนั้นให้ใจเราแข็งแรง การให้ใจแข็งแรงนั้น ก็ต้องดูแล รู้จักควบคุมตัวเอง อย่าเครียดมากเกินไป รู้เท่าทันความเครียด รู้เท่าทันอารมณ์ด้านลบของตัวเอง หาเวลาพาตัวเองพักผ่อนบ้าง ผ่อนคลายปล่อยวางปัญหาตามแนวทางของตัวเอง ยุคสมัยนี้ความเครียดเหมือนปกคลุมอยู่รอบข้างผู้คนพร้อมจะเข้าควบคุมและครอบครองใจเรา พยายามผลักสิ่งนั้นออกไปให้ได้ และอยู่ไกลๆมันไว้ จะห่างโรคร้ายได้มากมาย ยิ้มให้ตัวเองบ่อยๆ และเผื่อแผ่ถึงคนรอบข้าง สู้กับปัญหาให้เป็น เป็นกำลังใจให้ตัวเองและคนข้างๆ เท่านี้ สุขภาพดีก็อยู่ไม่ไกล!!

ตอนนี้กายและใจหมดลานรึยัง? ไขลานหัวใจ ไขลานร่างกายกันสักหน่อยนะ!!
ร่างกายของพวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้าผู้สถิตอยู่ในท่าน...1 โครินธ์ 6:19

f0a26532-cddf-4b7b-95d1-cc81f290f62c

Read More

เริ่มต้นจากครอบครัว

เพราะลูกหลานคือของขวัญที่พระเจ้าประทานให้
และผลผลิตที่เห็นในสังคมล้วนเป็นผลผลิตมาจากครอบครัว....

พ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์ แต่หน้าที่ของพ่อแม่ไม่ได้จบเพียงเท่านั้น ยังต้องเลี้ยงดูให้มีความเจริญเติบโตแข็งแรงตามวัย ต่อมาส่งเสริมให้การศึกษาให้มีความรู้ ความรับผิดชอบที่สำคัญต่อลูกซึ่งให้กำเนิดมา คือ การหล่อหลอมความเป็นมนุษย์ผู้มีใจประเสริฐ ในทางของคริสตชนพระเจ้ากำหนดให้ครอบครัวเป็นสถาบันหลักในการสร้างสังคม ความเจริญหรือความเสื่อมของสังคมขึ้นอยู่กับครอบครัว ผลผลิตที่เห็นในสังคมล้วนเป็นผลผลิตมาจากครอบครัว พระเจ้าทรงเลือกอับราฮัมให้สร้างชนชาติใหญ่ โดยพระเจ้าเริ่มจากครอบครัวเล็กๆ อับราฮัมและนางซาราห์มีหน้าที่อบรมสั่งสอนลูกหลานในครัวเรือนให้ดำเนินชีวิตในทางที่ถูกต้องตามทางของพระเจ้า
อับราฮัมไม่เพียงหาอาหาร เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม การศึกษา แต่ยังสร้างคุณธรรมและจริยธรรมภายในครอบครัวด้วย อับราฮัมเป็นแม่แบบและตัวอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิตเพราะเด็กจะซึมซับแบบอย่างไปปฏิบัติ และคำสอนจะมีน้ำหนักควรค่าแก่การปฏิบัติตาม
การสร้างอาณาจักรของพระเจ้าเริ่มที่ครอบครัว ครอบครัวคือศูนย์กลางการศึกษาชีวิต หลายคนทิ้งความรับผิดชอบและมอบให้โรงเรียน วัดหรือคริสตจักรเป็นผู้รับผิดชอบแทน แต่ไม่มีสถาบันใดๆ จะมาทดแทนสถาบันครอบครัวในการสร้างชีวิตได้ ความเข้มแข็งด้านคุณธรรมและจริยธรรมของคริสตจักรมาจากความเข้มแข็งของคุณภาพครอบครัวเป็นพื้นฐาน ฉะนั้นไม่ว่าจะสร้างสังคมไหน ๆให้แข็งแรง จะต้องเริ่มต้นที่ครอบครัว
ในทางของคริสตชนการสร้างสังคมให้แข็งแรง จะต้องหันมาใส่ใจเรื่องครอบครัวอย่างจริงจัง ให้เป็นไปตามแนวทางที่พระเจ้าวางไว้กับอับราฮัม แผ่นดินของพระเจ้าเริ่มจากครอบครัวเล็กๆ เจริญไปสู่ความเป็นชนชาติใหญ่ โยชูวายืนยันความจริงข้อนี้ ในวันอำลาท่านได้กล่าวถ้อยคำท้าทายเราในยุคนี้ว่า ..แต่หากท่านไม่เต็มใจที่จะปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าก็จงเลือกในวันนี้ว่าท่านจะปรนนิบัติใคร แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าเองกับครอบครัวจะปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า (โยชูวา 24:13-14)

ขณะเดียวกันถ้าหัวหน้าครอบครัวขาดความรับผิดชอบภาระหนักอาจตกอยู่ที่แม่ เราพบตัวอย่างในพระคัมภีร์แม่มีหลายบทบาทสูงมากและมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของลูก แม่ๆ ทั้งหลายอย่าท้อใจ จงมีใจสู้ถึงแม้หัวหน้าครอบครัวจะล้มเหลวพระเจ้าจะอยู่ด้วยและชูช่วยในทุกกรณี
ขอเป็นกำลังใจให้กับพ่อและแม่ในการเลี้ยงดูลูกหลานหรือแม้แต่ผู้ปกครองท่านอื่นๆของเด็กๆ ที่ได้ทุ่มเทเสียสละและรับของขวัญที่พระเจ้าประทานให้กับท่านนั้นคือลูกหลานของเรา ให้แต่ละครอบครัวให้ความสำคัญกับครอบครัวของตัวเอง เพราะไม่เพียงแค่ครอบครัวเป็นสถาบันที่พระเจ้าให้ความสำคัญแต่ครอบครัวเป็นรากฐานของชีวิตของเราแต่ละคนและของโลกด้วยเช่นกัน ขอให้เราสร้างรากฐานของเราด้วยความรักและพระคำของพระเจ้า
...เพราะเราได้เลือกเขาเพื่อให้เขาจะสอนลูกหลานและครัวเรือนของเขาที่จะมีมาภายหลังให้รักษาวิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยการทำสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรม ปฐมกาล 18 : 19



อ้างอิงบทความจากหนังสือธารพระพร
โดย ศจ.ดร.วีรชัย โกแวร์

abbc09f5-0b21-4d98-87ba-6773f352293c

Read More

เรื่องการตัดสินผู้อื่น …

มัทธิว 18:21-22

“ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ควรยกโทษให้พี่น้องที่ทำผิดต่อข้าพระองค์สักกี่ครั้ง? ถึงเจ็ดครั้งเชียวหรือ?” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าเจ็ดครั้งแต่เจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด”

หากวันหนึ่งทุกอย่างปรากฏความจริงต่อหน้าเรา (โดยเฉพาะในแง่มุมที่เราไม่เคยคิดถึง , ไม่เคยเปิดใจ , ไม่เคยเปิดหูฟัง , …) … หลายครั้งอาจเกมพลิก กลายเป็น “เราเองที่ต้องกลับใจใหม่ และ ขอโทษ”

การสงวนตนเองไม่ตัดสินผู้อื่น เป็นเรื่องยากที่ต้องฝึกฝน … เพราะสังคมโลกทุกวันนี้มักนำพา และ เร่งเร้าให้เราตัดสินใครต่อใคร ทั้งที่เราไม่ได้มีสิทธิมีส่วนใดๆ ในการนั้นเลย (โลกในปัจจุบันนี้การตัดสินผู้อื่นเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็ทำกัน เป็นวัฏจักรที่สนุกสนาน … แต่ไม่มีใครคำนึงถึงผลเสียที่เกิดขึ้น และ ผลสะท้อนที่ต้องรับเมื่อเรายืนในจุดที่ตัดสินผู้อื่น)

บางทีการตัดสินผู้อื่นอาจเกิดจาก …
เราเองที่ขาดประโยชน์
เราเองที่มีบาดแผล
เราเองที่ยังมีความเป็นเด็กในตัวตนเอง
เราเองที่ทำผิด แต่ไม่ยอมรับ
เราเองที่ยังไม่ได้รับรู้ข้อมูลความจริงอย่างครบด้าน (บางทีก็แค่ฟังต่อๆ กันมา)
เราเองคิดผิด นึกว่า “ตนเองแน่กว่าชาวบ้านเขา”

พระเจ้าทรงยุติธรรมทั้งต่อเราและต่อเขา เหตุนี้เอง … “ใครเดินตามทางที่ชอบธรรม ผู้นั้นย่อมได้รับการผดุงความยุติธรรมอย่างแน่นอน” โดยเฉพาะผลแห่งการไม่ตัดสินผู้อื่น <<< ซึ่งอย่างน้อยที่สุด “ การอธิษฐานโดยคำร้องทูลของเราจะใสสะอาด” >>> ซึ่งเป็นเหตุให้การช่วยกู้มาถึงในทุกครั้งที่เราอธิษฐาน


ผลของการตัดสินผู้อื่น … คือ มักได้รับ
“ความอยุติธรรม” มาจากหนทางอื่นเสมอๆ

เพราะการมอบความ อยุติธรรมให้แก่ผู้อื่น ด้วยเหตุนั้นเอง ความไม่ยุติธรรมจึงมาจากหนทางอื่นอยู่เรื่อย ๆ … >> เหมือนยิ่งจัดการก็ยิ่งบานปลาย , เหมือนใกล้จะสงบ แต่ก็กลับยุ่งยากวุ่นวายออกไปเรื่อย ๆ อย่างไร้เหตุ

การตัดสินคนอื่น (Judging) อาจเรียกได้ว่าเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์เรา เพราะถึงแม้บางครั้งจะรู้ว่าการตัดสินคนอื่นแล้วด่วนสรุป โดยยังไม่รู้จักคนคนนั้นดีพอ จะเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ ...แต่การห้ามใจไม่ให้ด่วนตัดสิน ก็เป็นเรื่องยากเกินกว่าจะควบคุมได้
คนเราตัดสินผู้อื่นเพื่อต้องการหลีกเลี่ยง ‘ความรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า’ ที่อาจเกิดจากความไม่รู้หรือไม่เข้าใจ แต่ขณะเดียวกันจงอย่าลืมว่า ในเหตุการณ์หนึ่งๆ อาจมีสิ่งหนึ่งที่เราเห็น และหลายสิ่งที่ไม่เห็น ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่เกิดการตัดสิน เรามักละเลยความเห็นอกเห็นใจ เสมอ

มีคำกล่าวว่า “เมื่อเราตัดสินคนอื่น เราไม่ได้นิยามพวกเขา แต่เรากำลังนิยามตัวเอง” ดังนั้น วิธีที่เราประเมินผู้อื่น จึงสะท้อนตัวตนของเราที่ถูกหล่อหลอมจากประสบการณ์ชีวิต, เป้าหมาย, ค่านิยม รวมถึงความปรารถนาที่แอบแฝง และความกลัวที่ซ่อนเร้นของเราด้วย

มัทธิว 7:1-2
“อย่าพิพากษา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงพิพากษาท่านทั้งหลาย เพราะว่าพวกท่านจะพิพากษาผู้อื่นอย่างไร พระเจ้าจะทรงพิพากษาท่านอย่างนั้น และท่านทั้งหลายจะตวงให้ผู้อื่นด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะทรงตวงให้พวกท่านด้วยทะนานอันนั้น

c8a5dc2d-bc84-4e87-af30-c4ad50176550

Read More

เสาหลัก 5 ประการ

เสาหลัก 5 ประการของโปรเตสแตนต์ คืออะไร
มีหลายคนตั้งคำถามในเรื่องที่รู้สึกสับสนมานานว่า “คริสเตียน คาทอลิก และแบ๊บติสต์”แตกต่างกันอย่างไร เมื่อ 500 ปีที่แล้ว การปฏิรูปศาสนาในทวีปยุโรปได้ส่งผลให้คริสตศาสนจักรตะวันตกแบ่งเป็นสองนิกายใหญ่ๆ คือ นิกายโปรเตสแตสต์และนิกายคาทอลิก
ต่อมากลุ่มโปรเตสแตนต์ได้แบ่งออกเป็นสายต่างๆ ซึ่งเชื่อและปฏิบัติไม่เหมือนกันในบางข้อ ดังนั้นนักปฏิรูปศาสนารุ่นแรกๆ จึงต้องการฟื้นฟูความจริงของศาสนาคริสต์ที่อาจถูกบิดเบือนลืมเลือนไป ที่เราสรุปได้เป็นห้าประการ
1. พระคัมภีร์เท่านั้น หรือ โซลา สคริปทูรา (Sola Scriptura)ผู้นำคริสตจักรสมัยแรกๆ เน้นความสำคัญของการใช้พระคัมภีร์เท่านั้น ในการกำหนดความเชื่อของคริสเตียน ว่าความเชื่อทุกอย่างต้องมีหลักการตามพระคริสตธรรมคัมภีร์ และมีคำเขียนจาก ซีริลแห่งเยรูซาเล็ม (Cyril of Jerusalem) ซึ่งได้เขียนไว้ในหนังสือคำสอนสำหรับผู้เชื่อใหม่(Catechetical Lactures) ว่า “เมื่อกล่าวข้อล้ำลึกอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าในเรื่อง
ความเชื่อ คริสเตียนเราไม่อาจนำเสนอสิ่งใดโดยไม่อ้างพระคัมภีร์ แม้แต่คำกล่าวอย่างไม่เป็น
ทางการก็ไม่ยกเว้น และเราต้องไม่ถูกชักจูงเพียงเพราะการใช้ถ้อยคำที่แยบยลฟังดูน่าเชื่อถือ
แม้กระทั่งตัวข้าพเจ้าเอง ที่กำลังบอกท่านถึงเรื่องเหล่านี้ก็อย่าได้เชื่อถือข้าพเจ้าอย่างหมดใจ
เว้นแต่ท่านจะได้พิสูจน์ว่าสิ่งต่างๆ ที่ข้าพเจ้าประกาศนั้นมาจากพระคัมภีร์ ทั้งนี้ก็เพราะว่า
ความรอดที่เราเชื่อนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการให้เหตุผลอันชาญฉลาด หากแต่ขึ้นอยู่กับการเปิดเผย
ของพระเจ้าผ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์
2. พระคุณเท่านั้น (โซลากราเทีย)
ตั้งแต่สมัยแรกๆของคริสตจักร ผู้นำคริสเตียนคนสำคัญหลายคนต่างยืนยันว่าเรารับความรอดโดยพระคุณพระเจ้าเท่านั้น ออกัสติน (Augustine) สอนในหนังสือนครของพระเจ้า (City of God) ว่า “เพราะว่าความบาปเท่านั้น ที่แยกมนุษย์ออกห่างจากพระเจ้า และในชีวิตนี้การชำระตนให้บริสุทธิ์จากบาปไม่ได้เป็นผลจากการกระทำดีของเรา แต่เกิดขึ้นโดยพระกรุณาของพระเจ้าด้วยความยินยอมของพระองค์ มิใช่ด้วยกำลังอำนาจของเรา หรือข้อเขียนจากผู้นำคริสเตียนในยุคปฏิรูปศาสนา กล่าวไว้ว่า “เพราะว่าทุกสิ่งล้วนเป็นของพระองค์ และพระองค์มิได้ทรงเรียกร้องสิ่งใดจากเรา นอกจากให้เราได้รับความรอด แม้แต่ความรอดนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่พระองค์ได้ประทานแก่เรา” และ “เรานับว่าคนใดเป็นผู้ชอบธรรมก็โดยพระคุณเท่านั้น และเราถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมก็โดยความเชื่อเท่านั้น”


อ่านต่อในฉบับถัดไป

7ae5075a-139e-4c7a-85f5-dc88d8ba3679

Read More

เสาหลัก 5 ประการ (ฉบับที่ 2)

เสาหลัก 5 ประการ

ของโปรเตสแตนต์ คืออะไร (ต่อ)

3.พระคริสต์เท่านั้น (โซลัส คริสตัส)
บางคนใช้คำว่าโซลัส คริสตัส (พระคริสต์เท่านั้น) หรือ โซโล คริสตัส (โดยพระคริสต์เท่านั้น) เนื่องจากตามไวยากรณ์ภาษาละตินนั้น ตัวสะกดที่ท้ายคำส่วนใหญ่ต้องเปลี่ยนรูปไปตามหน้าที่ของคำดังกล่าวในประโยค ผู้อ่านหนังสือศาสนศาสตร์จึงอาจพบคำใดคำหนึ่งบ่อยขึ้นในสมัยปัจจุบัน การสรุปคำสอนของคริสเตียนที่พวกนักปฏิรูปศาสนาอยากฟื้นฟูขึ้นใหม่ในศตวรรษที่ 16 ที่ในสมัยนั้นมีคนเน้นการอธิษฐานต่อเหล่านักบุญ การชื้อใบล้างบาป และการชดใช้บาปโดยการทำความดี เพื่อต่อต้านความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ พวกนักปฏิรูปจึงยืนยันว่า พระคริสต์เท่านั้นทรงฟังคำอธิษฐานของเรา พระคริสต์เท่านั้นทรงชดใช้บาปและล้างบาปของเราได้ มีเพียงพระคริสต์เท่านั้นที่ทรงช่วยเราได้ ดังนั้นคำสอนสำหรับผู้เชื่อใหม่ ซีริลแห่งเยรูซาเล็ม (Cyril of Jerusalem) จึงสอนว่า “ดังนั้นขอให้เริ่มต้นโดยการรับไม้กางเขน ว่าเป็นรากฐานที่ไม่อาจถูกทำลาย แล้วจึงก่อร่างสร้างความเชื่อขึ้นด้วยวัสดุอื่นๆบนรากฐานดังกล่าว”
จอห์น คริสซอสทอม (John Chrysostom) ก็เช่นกัน เขายกย่องพระคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยเราให้รอด ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราเองสามารถทำได้เพื่อช่วยตัวเองให้รอด เขายังเขียนอีกว่า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงรักมนุษย์เป็นล้นพ้น พระองค์มิได้ลังเลที่จะสละพระบุตรของพระองค์ให้เป็นดังเหยื่อ เพื่อไถ่ชีวิตคนรับใช้ของพระองค์ พระองค์สละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อซื้อชีวิตของคนรับใช้ที่จิตใจแข็งกระด้าง พระองค์ทรงจ่ายราคาด้วยพระโลหิตของพระบุตร โอ้ ความเมตตาอาทรขององค์เจ้านาย! ฉะนั้น อย่าได้พูดกับข้าพเจ้าอีกว่า ‘ข้าทำบาปมากมาย ข้าจะรับความรอดได้อย่างไร?’ ท่านไม่อาจช่วยตัวเองให้รอด แต่องค์เจ้านายของท่านทำได้ และทำอย่างดีเลิศ ถึงขนาดที่ทรงลบล้างบาปของท่านจนหมดสิ้น จงเอาใจใส่ความจริงนี้ให้มาก พระองค์ทรงลบล้างได้อย่างหมดจด จนไม่เหลือร่องรอยใดๆเลย”

45fecfc2-ec8f-4d29-b552-e6aae051ee21

Read More
ABOUT US

Wycliffe Thai is a Bible translation organization in Thailand. We have 19 Projects for Bible translations within and around our country.  

  • Facebook
  • YouTube
ADDRESS

Wycliffe Thai Foundation
307/1 Moo 7,  Nong Kwai, Hang Dong District, Chiang Mai 50230

CONTACT US

Thanks! Message sent.

bottom of page